Tales of Demons & Gods บทที่ 49 ทดสอบพละกำลัง
พรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะผ่านการทดสอบเช่นนั้นรึ?
อย่างไรก็ตาม เสิ่นเฟย ยังไม่ทราบว่าภายในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เซี่ยวหนิงเอ๋อได้บ่มเพาะพลังด้วย เทคนิคการบ่มเพาะพลัง[มังกรอัสนี] ตามที่เนี้ยหลี่แนะนำนางไม่เหมือนกับแต่ก่อน หลังจากการบ่มเพาะพลังวิญญาณพลังของเซี่ยวหนิงเอ๋อก็ได้ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันตระกูลปีกมังกร ทั้งหมดของเซี่ยวหนิงเอ๋อได้สนับสนุนนาง ความสามารถของเซี่ยวหนิงเอ๋อในตอนนี้นั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับแต่ก่อนได้
“หลังจากที่พูดออกมา เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือ?” เสิ่นเฟย กล่าวออกมาพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา มีเพียงนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าไปยังพรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ได
“พรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์” เนี่ยลี่ เนี้ยหลี่ยิ้มเล็กน้อย มันต้องเป็นสถานที่แห่งนั้นที่เขาต้องไปให้ได้อย่างแน่นอน ในอดีตชาติ เมืองกลอรี่ได้ถูกทำลาย เข้าได้เขาไปในพรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ บางสิ่งที่ได้ซ่อนอยู่นั้นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้ ดังนั้น เนี่ยลี่ต้องได้รับคุณสมบัติเพื่อจะเข้าไปยังพรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์นี้ให้จงได้ !
“มั่นใจได้เลยว่า เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นมีคุณสมบัติพอ รอดูได้เลย ตอนนี้เจ้าจะไปไหนก็ไป!”
เนี่ยลี่กล่าวอย่างเย็นชา คนอย่างเสิ่นเฟยไม่คู่ควรที่จะมาเป็นคู่ตอสู้ของเนี่ยลี่ สิ่งที่กระตุ้นจิตใจของเนี่ยลี่ไม่ใช่เพียงแค่ผู้สืบสายเลือดของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้คนเดียว แต่เป็นทั้งหมดของตระกูลศักดิ์สิทธิ์
เสิ่นเฟยจ้องมองไปที่เนี่ยลี่ ทันใดนั้นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา พร้อมกล่าวอย่างเย็นชา” เนี่ยลี่เจ้ากล้าหรือไม่? ตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะจัดแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเชิญตระกูลบันทึกสวรรค์ด้วย เจ้ากับข้าสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งพอถึงเวลานั้นจะไม่มีการติดใจเอาความ เจ้ากล้าหรือไม่?”
เลวทรามมากสายตาของคนโดยรอบได้มองเสิ่นเฟยด้วยความชิงชังแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่คิดสาปแช่งในใจเท่านั้น เขาเป็นนักเรียนที่มาจากชั้นเรียนผู้มีพรสวรรค์และมีอายุได้สิบเจ็ด ปีแล้ว ระดับเคลื่อนพลังของเขาก็ได้เข้าสู่ระดับซิลเวอร์แล้ว แต่ทว่าเนี้ยหลี่นั้นยังไม่ถึงระดับบรอนซ์หนึ่งดาวเสียด้วยซ้ำ การที่เสิ่นเฟยพยายามจริงจังที่จะชักชวนเพื่อต่อสู้กับเนี่ยลี่นั้น เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฟยมีเจตนาที่จะฆ่าเนี่ยลี่เท่านั้น!
ถึงแม้ว่าเนี่ยลี่จะปฏิเสธ ก็จะไม่มีใครพูดสิ่งใดเลย
“ แล้ว ? เจ้ากล้ารึไม่? ถ้าเจ้าไม่กล้า เจ้ามันก็เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง!” เสิ่นเฟยกล้าพูดออกมาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง พร้อมกับหัวเราะอย่าเย็นชา
ทันใดนั้น เซี่ยวหนิ่งเอ๋อก็ได้ตึงเครียดขึ้นพร้อมมองไปที่เนี่ยลี่ เนี่ยลี่ยิ้มเล็กน้อย เขาได้ทำการบีบเบา ๆ ไปที่มือของหนิงเอ๋อ ทำให้นางรู้สึกคลายกังวล
“ตั้งแต่ข้าได้ท้าท้ายตระกูลเจ้า ไหนเลยเรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะไม่กล้า”เนี่ยลี่หัวเราะดังลั่น พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผู้คนต่าง ๆรอบข้างล้วนไม่เชื่อกับภาพที่เห็นเนี่ยลี่ยอมรับคำท้าทายของเสิ่นเฟย เสิ่นเฟยนั้นอยู่ในระดับซิลเวอร์แถมยังเป็นนักเรียนในชั้นเรียนผู้มีพรสวรรค์ เนี่ยลี่บ้าไปแล้วหรือ?
เซี่ยวหนิงเอ๋อเห็นท่าทีมั่นใจของเนี่ยลี่ นางรู้สึกคลายกังวลลงไม่มีสิ่งใดยากสำหรับเนี่ยลี่ เนี่ยลี่นั้นมีพลังที่ยากหยั่งถึงเขาสามารถแก้ไขทุกปัญหาได้
“เมื่อเจ้าได้ตกลงแล้ว เจ้าอย่าได้กลับคำและอย่าได้คิดหนี ข้าจะรอเจ้าในการต่อสู้ที่จะมาถึงนี้” เสิ่นเฟยแค่นเสียงในจมูก ดวงตาเขาคมราวกับมีดเมื่อพวกมันกวาดตามองผ่านเนี้ยหลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อ ข้าจะทำให้เจ้าทั้งสองได้รู้ซึ้ง เมื่อเจ้าได้พ่ายแพ้ให้แก่ข้า ข้าจะได้สนุกกับการได้เห็นแกอ้อนวอนขอความเมตตาหลังจากนั้นก็จะสังหารเจ้าต่อหน้าเซี่ยวหนิงเอ๋อซะ!'
เสิ่นเฟยหันหลังกลับและเดินจากไป เสิ่นเอีย ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพี่ชายเขานัก ก็มองยังมุ่งร้ายมาที่เนี่ยลี่ด้วย แต่ไม่ช้าก็จากมาและตามหลังเสิ่นเฟยไป
หลังจากออกมาชั่วครู่ เอียจื่ออวิ๋นก็ได้กลับมา นางมองตรงไปยังเนี่ยลี่และถามเขาด้วยความห่วงใย “ข้าได้ยินว่าเจ้ายอมรับการประลองของเสิ่นเฟย”
“มันไม่มีอันใด ข้านั้นมีแผนแล้ว เมื่อได้เห็นว่าเจ้าห่วงใยข้าเพียงใดนั้น ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งในหัวใจแล้ว” เนี่ยลี่กล่าว
เอียจื่ออวิ๋นไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรยายได้ นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธและพูดว่า “ใครบอกกันว่าข้านั้นห่วงใยเจ้า มันเป็นความรู้สึกรักข้างเดียวของเจ้าทั้งนั้น?” เสิ่นเฟยได้ก้าวถึงระดับซิลเวอร์นานแล้ว ระดับของเขาอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับร่างทรงอสูรระดับซิลเวอร์สองดาว เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้านั้นสามารถเอาชนะเขาได้ ?
แม้ว่านางได้พูดออกไปว่านางนั้นไม่ได้ห่วงใย แต่ที่จริงแล้ว เอียจื่ออวิ๋นยังคงกังวลอยู่
“พวกเราจะได้เห็นเมื่อเวลานั้นมาถึง” เนี่ยลี่ได้ยักไหล่ของเขา
“เจ้ายอมรับการประลองนี้เป็นเพราะเซี่ยวหนิงเอ๋อเป็นแน่ มันดูราวกับว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งดีกว่าที่จะดีต่อนางให้มาก มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป” เอียจื่ออวิ๋นแค่นเสียงอย่างเย็นชา นางไม่รู้ตัวว่าทำไมเมื่อนางได้พูดคำเหล่านั้นออกไป นางรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจของนาง
ในเมื่อเจ้าชอบเซี่ยวหนิงเอ๋อมากถึงเพียงนี้ ทำไมเจ้าจึงยังมาบอกว่ารักข้า? นางคิดขึ้น ระลึกถึงเหตุการณ์ภายในพระราชวังใต้ดิน นางรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยในดวงใจ เนี่ยลี่ได้เห็นทุกสิ่งที่เขาไม่ควรมอง
“คนเช่นเสิ่นเฟยนั้นเหมือนกับขยะ ข้าไม่สามารถทนได้ซึ่งผู้หญิงเช่นเซี่ยวหนิงเอ๋อต้องไปตกอยู่ในมือของเสิ่นเฟย ด้วยสิ่งนี้ต่างหากที่ข้าช่วยนางออกมา!” เนี่ยลี่อธิบายอย่างรวดเร็ว เขามีเพียงความประทับใจอันดีต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อเท่านั้น แต่ไม่ว่าความประทับใจนั้นจะมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับชะตากรรมที่เอียจื่ออวิ๋นและเขาได้ผ่านมาร่วมกัน
“เจ้าพูดเช่นนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ดูดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย” เอียจื่ออวิ๋นบุ้ยปาก
เมื่อได้ยินที่เอียจื่ออวิ๋นพูด เนี่ยลี่ไม่รู้ว่าเขาจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาได้ประสบพบพานหลายสิ่ง มือของเขานั้นได้ผ่านมาแล้วซึ่งเลือดที่ไหลริน ของหลายชีวิตเสียจนไม่อาจที่จะนับได้ เขาได้ทำสิ่งต่าง ๆ ลงไปมากที่ขัดกับจิตสำนึกของเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่คนเลวทรามเช่นเสิ่นเฟย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนั้นกับข้า มันดูเหมือนกับว่าข้านั้นกังวลหรือ?” เอียจื่ออวิ๋นขมวดคิ้วและแค่นเสียง
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น ๆ เอียจื่ออวิ๋นวางตัวสง่างามอย่างเฉยเมย นางจะวางตัวห่างจากผู้อื่นเป็นพัน ๆ ลี้ ความสงบเล็กน้อยของนางบอกถึงว่านางนั้นไม่กังวลเกี่ยวกับเขา เนี้ยหลี่กอดอกของเขาและสูดหายใจลึก โลกนี้ช่างสวยงาม เขามีความรู้สึกกับชีวิตในชีวิตปัจจุบันของเขานี้ เมื่อเทียบกับการต้องร่อนเร่ไม่รู้จบและมีแต่การฆ่าฟัน เมื่อชีวิตที่แล้วของเขา ชีวิตของการเล่าเรียนนั้นมีความสงบสุขกว่าอย่างมาก เขาถูกเกลียดและถูกรบกวนโดยคนเลวทรามอย่างเสิ่นเอีย เสิ่นเฟ่ย และชู่หยวน และเขาได้แหย่กระเซ้าสาวงามเช่นเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ชีวิตนี้ช่างแสนสุขสบายนัก
เมื่อได้เห็นท่าทีอิ่มเอมใจของเนี่ยลี่เอียจื่ออวิ๋นรู้สึกโกรธ และถามว่า “เจ้ากำลังหัวเราะเรื่องอันใด?”
“ข้ากำลังหัวเราะเช่นนั้นหรือ?” เนี่ยลี่พูดขณะพยายามควบคุมเสียงหัวเราะของเขา
เอียจื่ออวิ๋นรู้สึกเศร้าใจ เนี่ยลี่นั้นน่ารำคาญมากเกินไป นางรู้สึกเหมือนว่าต้องการทุบตีเนี่ยลี่
อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเหตุใด
แม้ว่านางจะเกลียดเนี่ยลี่ แต่นางยังคงดูเหมือนชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา บางทีเป็นเพราะนางไม่มีมีเพื่อนสนิทมาเป็นเวลานานแล้ว การที่ได้อยู่กับเนี่ยลี่ ทำให้นางรู้สึกสบายใจปราศจากการหวาดระแวง
เมื่อได้เห็นเอียจื่ออวิ๋นและเนี่ยลี่กำลังพูดคุยกัน ด้วยเอียจื่ออวิ๋นดูเหมือนว่าจะโยนทิ้งซึ่งความสำรวมเมื่ออยู่กับเนี่ยลี่ ทำให้กลุ่มของเด็กผู้ชายคลุ้มคลั่งด้วยความหึงหวง ท่าทีที่สง่างามของนางเป็นเหตุให้ผู้อื่นที่ได้ยลโฉมนางนั้นตกอยู่ในความหลงไหล เนี้ยหลี่คว้าข้อมือเซี่ยวหนิงเอ๋อเมื่อชั่วครู่นี้ และตอนนี้เขากำลังเย้าแหย่กับเทพธิดาเอียจื่ออวิ๋น
ทำไมสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ถึงได้ตกอยู่กับเนี่ยลี่ ? สวรรค์นั้นช่างไม่ยุติธรรม!
ตู่ซื่อ ลู่เพียวและคณะรู้สึกอิจฉาเนี่ยลี่อยู่ลึก ๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้รู้สึกหึงหวงภายในใจของพวกเขาแต่อย่างใด เนี่ยลี่คือพี่น้องของพวกเขา เป็นพี่น้องของพวกเขาตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตู่เซ่อ ลู่เพียวกำลังพูดคุยกับนักเรียนจากชั้นเรียนพวกเขา ด้วยลักษณะพิเศษซึ่งความเป็นผู้นำของตู่เช่อได้ดึงดูดให้เหล่าสามัญชนมากมายติดตามเขา
หลังจากนั้นชั่วครู่ เสิ่นซิ่วได้เดินมา สะโพกเธอส่ายไปมา(ขณะเดิน) นางชำเลืองมองผ่านกลุ่มนักเรียนและสายตามาตกอยู่กับเนี่ยลี่ สายตานางเปลี่ยนเป็นครบกริมเมื่อมันตกมาที่เขา
เสิ่นซิ่วพูดด้วยโทนเสียงต่ำว่า “การทดสอบประจำปีสำหรับชั้นเรียนของพวกเราจะเริ่มในไม่ช้านี้ ทุก ๆ คนตามข้ามา!”
“อาจารย์ เสิ่นซิ่ว ดังที่ท่านได้พูดกับข้าก่อนหน้านี้ ถ้าข้าสามารถไปถึงระดับบรอนซ์หนึ่งดาวได้ ท่านจะลาออกจากโรงเรียนแห่งนี้ สิ่งนั้นยังเป็นจริงอยู่หรือไม่? “เนี่ยลี่ได้พูดไปแบบนั้นอย่างกระทันหัน แล้วเขาก็หัวเราะและเริ่มพูดต่อ ”ถ้าท่านมาขอขมาแก่ข้า และขอร้องให้ข้ายกเลิกการพนันระหว่างเรา บางทีข้าจะทบทวนมัน”
'เจ้ากำลังพยายามใช้กลอุบายกับข้ารึ? ข้าไม่หลงกลง่าย ๆ หรอก!' เสิ่นซิ่ว คิดเช่นนั้น นางพ่นหายใจออกและพูดว่า ”ข้าเสิ่นซิ่วยึดมั่นในคำพูดของข้า ถ้าเจ้าสามารถไปถึงระดับบรอนซ์หนึ่งดาวได้ ข้าจะลาออก”
เนี่ยลี่ยักไหล่และพูดว่า “เช่นนั้นท่านควรจะรีบไปและเขียนจดหมายลาออกของท่านให้เรียบร้อยเสียดีกว่า”
“ไว้พูดเมื่อการทดสอบของเจ้าถึงระดับบรอนซ์หนึ่งดาวก็แล้วกัน” เสิ่นซิ่วแค่นเสียง และนำพาเหล่านักเรียนทั้งหมดของชั้นเรียนเดินตรงไปยังห้องโถงแห่งการสอบ
มีนักเรียนจำนวนหลายพันคนภายในสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ ทุก ๆ คนต่างเข้ารับการทดสอบของตัวเองการทดสอบนั้นใช้ซึ่งเวลาอยู่บ้าง
ระหว่างทางเดินนั้น นักเรียนมากมายเริ่มพูดคุยกัน
“ข้าได้ยินมาว่าในชั้นเรียนฝึกหัดร่างทรงอสูร มีอยู่ สองคนผู้ซึ่งพลังวิญญาณของเขาได้ก้าวถึงระดับบรอนซ์สามดาวแล้ว!” ชั้นเรียนฝึกหัดร่างทรงอสูรนั้นยิ่งใหญ่มาก!”
“ก็ควรเป็นเช่นนั้น พวกเขาเหล่านั้นมากมายได้บ่มเพาะพลังก่อนพวกเราไปถึงหนึ่งถึงสองปี”
“ข้าได้ยินมาว่า ชั้นเรียนฝึกหัดซึ่งรูปแบบอักขระ มีผู้หนึ่งซึ่งพลังของเขาอยู่ที่ระดับบรอนซ์สองดาว!”
กลุ่มของนักเรียนซึ่งได้สวมใส่เสื้อผ้าต่างกันไปกำลังยุ่งอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์
ภายในสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่ หกชั้นเรียนในระดับฝึกหัด เพราะว่าชื่อของพวกมันนั้นแตกต่างกันเพื่อแสดงถึงความสามารถที่พวกเขาทำได้ดี ที่แตกต่างกันด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเด็ก ๆ นั้นเปลี่ยนใจอยู่ตลอดเวลา ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะปรับเปลี่ยนทิศทางการบ่มเพาะพลังของพวกเขา ท่ามกลางชั้นเรียนทั้งหมด ชั้นเรียนฝึกหัดร่างทรงอสูรได้รับความสนใจมากที่สุดเพราะที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์มุ่งความสนใจไปมากที่สุด
เกี่ยวกับการสอบในชีวิตที่แล้วของเขา เซี่ยวหนิงเอ๋อและเอียจื่ออวิ๋นได้เข้าสู่ชั้นเรียนร่างทรงอสูรฝึกหัดและเนี่ยลี่ยังคงอยู่ที่ชั้นเรียนนักต่อสู้ฝึกหัด แม้ว้าเขาได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วในการฝึกตน การบ่มเพาะพลังของเขายังคงเพิ่มขึ้นได้อย่างช้า ๆ ราวกับมันไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
แต่ชีวิตนี้จะไม่เป็นเช่นชีวิตที่แล้วของเขา ไม่เพียงแต่เซี่ยวหนิงเอ๋อและเอียจื่ออวิ๋นแต่รวมแม้กระทั่งตู่เซ่อ ลู่เพียวและเพื่อนทั้งสามที่จะมีโชคชะตาที่พลิกผัน
“ชั้นเรียนของนักต่อสู้ฝึกหัดมาที่แห่งนี้!”
“นี่คือชั้นเรียนที่มีขยะมากที่สุดใช่หรือไม่? มีเรื่องเล่าว่าภายในกลุ่มของพวกเขา มีคนมากมายที่มีเพียงจิตสีชาด!”
“ดวงวิญญาณมีสีชาดยังสามารถบ่มเพาะพลังได้อีกหรือ?”
“อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่ามีซึ่งบางคนที่ความฉลาดของพวกเขานั้นไม่เลวเลยทีเดียว โดยใกล้จะถึงระดับบรอนซ์ในไม่ช้านี้ ยกตัวอย่างเช่นเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ!”
เมื่อได้ยินชื่อทั้งสองเหล่านี้ ผู้ชายหลายคนมีดวงตาเป็นประกาย ไม่ว่าเป็นที่แห่งใด หญิงสาวอันงดงามยังคงเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความสนใจของทุก ๆคน แม้ว่าอายุของพวกเขายังค่อนข้างน้อย พวกเขาได้ผ่านการบ่มเพาะพลังมาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้น ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางชั้นเรียนนักต่อสู้ฝึกหัด สองหญิงผู้งดงามที่สุดไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ เหล่าผู้ชายในชั้นเรียนร่างทรงอสูรระดับฝึกหัดล้วนแสดงความคาดหวังในดวงตาของพวกเขา ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อจะเข้าสู้ชั้นเรียนของพวกเขา เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะมีโอกาสมากมายที่จะได้ใกล้ชิดกับพวกนางทั้งสอง
เมื่อมองดูเหล่านักเรียนจากชั้นเรียนร่างทรงอสูรฝึกหัดที่มีดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เนี้ยหลี่อดหัวเราะไว้ไม่ได้เลย ภายในช่วงชีวิตนี้ พวกเขาจะต้องผิดหวัง เพราะว่าไม่ว่าทั้งเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ พวกเธอจะได้เข้าไปยังชั้นเรียนร่างทรงอสูรระดับผู้มีพรสวรรค์
ภายใต้การนำของเสิ่นซิ่ว ชั้นเรียนนักต่อสู้ฝึกหัดได้เข้าสู่ห้องโถงแห่งการทดสอบ บนเวทีที่ไกลออกไป ได้ยกตัวขึ้นเพื่อให้สามารถมองเห็นการทดสอบทั้งหมดได้
“รอบแรก การทดสอบพละกำลัง ผู้ใดจะเป็นคนแรก?” หนึ่งในเหล่าอาจารย์ได้ถามไปยังเสวิ่นเซี่ยว
เสิ่นเอียได้มองดูไปยังนักเหล่านักเรียนทั้งหมดภายในชั้นเรียนของเขา เสิ่นเอียได้ก้าวออกมาและพูดอย่างภูมิใจว่า “ข้าจะเป็นคนแรก!”หลังจากการพูด เขาได้ก้าวไปยัง
“หอคอยศิลาวัดพลัง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น