วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตอนที่ 5 :นักปรุงยาอสูร

ตอนที่ 5 :นักปรุงยาอสูร


            เหรียญจิตมารคือหน่วยเงินตราในนครเรืองโรจน์ โดยปกติแล้วเงินสองถึงสามพันเหรียญนั้นเพียงพอให้ครัวเรือนทั่วไปใช้จ่ายได้หนึ่งปี ราคาของสินค้าในนครล้วนวัดด้วยหน่วยนี้ เช่นเกราะรบ ศิลามาร ขนสัตว์อสูร ยาวิเศษ และอีกหลายๆอย่าง
            ค่าเล่าเรียนของสถานศึกษาเสิ้งหลันอยู่ที่สามพันเหรียญต่อปี สำครับครอบครัวทั่วไปถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนโต แต่ส่วนใหญ่ก็ยินยอมกระเบียดกระเสียรส่งบุตรหลานเข้าเรียน เนื่องจากถ้าพวกได้กลายเป็นนักรบหรือผู้ใช้ภูติ แม้เพียงชั้นสำริดก็เปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลได้
            นักรบชั้นสำริด หากเข้าร่วมกองทัพจะได้ค่าเบี้ยเลี้ยงอยู่ที่ห้าถึงหกพันเหรียญ ในขณะเดียวกันยังสามารถเข้าสู่เทือกเขาบรรพชนและเก็บกินผลประโยชน์เพิ่มขึ้น
            เนี่ยหลีเป็นคนของตระกูลรอยฟ้าซึ่งเป็นสกุลยศฐาที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง หัวหน้าตระกูลเป็นผู้ใช้ภูติหนึ่งดาวทอง รายรับของตระกูลอยู่ที่หกล้านเหรียญต่อปี ส่วนรายจ่ายเองก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพียงค่าเล่าเรียนของเด็กทั้งหลายก็อยู่ที่ราวๆสามล้านเหรียญแล้ว ดังนั้นเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว สถานการณ์ของตระกูลเองก็ชักหน้าไม่ถึงหลังเช่นกัน ได้แต่ขายกิจการของตระกูลออกบางส่วน จึงพอจะกัดฟันส่งเด็กทั้งหลายได้อยู่
            ประมุขตระกูลเคยกล่าวไว้ว่ามีเพียงสมาชิกที่เด่นล้ำในหมู่เด็กรุ่นหลังเท่านั้นที่จะนำพาตระกูลต่อไปได้ แม้ว่าพวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง พวกเขาก็ยินดีให้เด็กทั้งหลายได้รับการบ่มเพาะอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
            ชาติก่อนเนี่ยหลีไม่เข้าใจประโยคนี้นัก เขารู้สึกประหลาดกับการกระทำของเนี่ยเหิงผู้เป็นประมุขตระกูลยิ่ง เขานั้นเข้มงวดกับเด็กทั้งหลายมาก จวบจนชาตินี้ เนี่ยหลีจึงเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความคิดและความห่วงใยของประมุขตระกูล
            ในฐานะของสมาชิกตระกูลรอยฟ้า เนี่ยหลีเองต้องการให้ตระกูลเติบโตขึ้นและกลายเป็นตระกูลชั้นนำของนครเช่นกัน
            หลังเกิดใหม่ ความทรงจำของเนี่ยหลีเต็มไปด้วยวิธีฝึกฝนอันทรงพลานุภาพ แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องทำเงินสักหน่อยเพื่อซื้อหินวิญญาณขั้นต้นมาทดสอบรูปแบบของเวิ้งวิญญาณ จากนั้นเขาจึงจะตัดสินใจเลือกวิธีฝึกฝนที่เหมาะสมได้ ถ้าวิธีฝึกฝนนั้นเหมาะสมกับรูปแบบของเวิ้งวิญญาณ การฝึกฝนจะยิ่งทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
            ติง ติง ติง!
            เสียงระฆังก้องกังวาลทั่วนคร ชั้นเรียนเลิกแล้ว
            นักเรียนของสถานศึกษาพุ่งตรงออกไปผ่านหน้าประตูเข้าสู่ถนนใหญ่ พ่อค้าแม่ขายยืนเรียงรายกันเป็นทิวแถว
            “เกราะรบชั้นสำริดใหม่ล่าสุดพร้อมลงอาคมวายุเหมันต์ นายน้อยหรือคุณหนูท่านใดสนใจหรือไม่?” พ่อค้าในชุดสีเทาร้องเรียกแขกด้วยความยินดี นั่นเรียกความสนใจจากนักเรียนจำนวนมาก เกราะรบชั้นสำริดไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนทั่วไปจะหามาครอบครองได้ แต่นักเรียนของสถานศึกษามีชนชั้นสูงอยู่มาก บางคนก็พกเงินอยู่โข และพวกเขาหวังว่าจะขายนักเรียนเหล่านี้ได้ถ้ามีโชคพอ
            “ดูนั่น เกราะรบระดับสำริด มีอาคมวายุเหมันตร์สลักไว้เสียด้วย”
            นักเรียนทั้งหลายต่างตื่นตาและคุยกับเพื่อน เกราะถุงมือคู่นั้นเปล่งประกายสีน้ำเงิน บนผิวสลักไว้ด้วยรอยร่องลี้ลับและเปล่งไอเย็นยะเยือก
            “เท่าไหร่?” นักเรียนคนหนึ่งถามเบาๆ
            “หกหมื่นเหรียญจิตมารท่าน” ผู้ขายตอบด้วยรอยยิ้ม
            “สวรรค์ แพงเกินไปแล้ว”
            ครอบครัวทั่วไปไม่สามารถสะสมเงินหกหมื่นเหรียญได้ในสิบปี
            “นี่คือเกราะรบชั้นสำริด ทั้งลงลวดลายอาคมวายุเหมันต์ไว้ ลายลายนี้ต้องใช้โลหิตและหินวิญญาณของภูติสาวลมหิมะเขียนขึ้น ทั้งต้องอยู่ในวัยสาวเต็มที่ ไม่ง่ายที่จะล่าพวกนาง นั่นทำให้ถุงมือนี้มีความสามารถในการจู่โจมสูงส่ง เหมาะอย่างยิ่งกับนักรบหรือผู้ใช้ภูติในสายลมหิมะ”
            นักเรียนหลายคนมองถุงมือทั้งคู่ด้วยความกระหาย แต่มันยังคงถูกทิ้งไว้ดังนั้น ราคานี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะครอบครองไหว
            “ถ้าเกราะรบระดับสำริดอย่างเดียวราคาหกหมื่น ระดับเงินกับทองไม่แพงยิ่งว่านี้หรือไง?” ลู่เปียวพึมพำ เขาได้เงินแค่เดือนละห้าพันเหรียญ ครอบครัวของลู่เปียวมีกิจการมากมาย ดังนั้นเขาถือว่าเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ชาติก่อนลู่เปียวยื่นมือช่วยเหลือเพื่อนทั้งสองบ่อยครั้ง แต่แม้จะมีเงิน เกราะรบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะครอบครองไหว
            ขณะที่เนี่ยหลี ลู่เปียว และตู้เจ๋อเดินพลางมองไปรอบๆ ถนนนั้นคลาคล่ำไปด้วยสินค้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นของถูกหรือแพงล้วนพบได้ที่นี่
            “เนี่ยหลี นายวางแผนอะไรไว้?” ลู่เปียวถาม เขาสับสนกับการที่เนี่ยหลีเดินดูของไปเรื่อยๆ
            ขณะที่พวกเขายืนคุยกัน เงาร่างหนึ่งก็ก้าวไปยังพ่อค้าคนนั้น
            “ดูสิ นั่นเสิ่นเยว่” ลู่เปียวว่า บุ้ยปากไปยังเสิ่นเยว่ “มีเหย่จื่อหวินด้วย”
            เนี่ยหลีมองตาม เขาเห็นเพียงเหย่จื่นหวินกับเพื่อนสาวหลายคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข ใบหน้าที่น่ารักและรอยยิ้มหวานเต็มไปด้วยความกระจ่าง ท่านกลางกลุ่มเพื่อน รอยยิ้มของเหย่จื่อหวินเปล่งประกายที่สุด ทำให้ทุกคนมองไปที่นาง ทุกอย่างดูสดใสเพียงการปรากฏตัวของเหย่จื่อหวิน
            เสิ่นเยว่เองก็เหลือบมองนางเป็นระยะเช่นกัน
            “ดีมาก ฉันเองขาดถุงมือระดับสำริดอยู่พอดี ห่อให้ฉันด้วย” เสิ่นเยว่พูดกับพ่อค้านั้นเบาๆ
            “ขอรับนายน้อย”
            พ่อค้านั้นรับคำทันที พลางห่อถุงมือด้วยผ้าอย่างรีบร้อน
            “หกหมื่นเหรียญ”
            เสิ่นเยว่เอาเทียบแก้วออกมาหกใบ เทียบแก้วมารแต่ละมีค่าหนึ่งหมื่นเหรียญ
            เขาใช้เงินเหมือนหกหมื่นเหรียญนั้นไม่มีค่าอันใด ด้วยความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเก็บถุงมือนั้นลงในแหวนมิติ(คงเจี้ยนเจี้ยจื่อ)
            เด็กหญิงหลายคนอุทานเบาๆ เขาใช้เงินหกหมื่นเหรียญออกมาง่ายๆ ช่างมีทรัพย์นัก เด็กหญิงหลายคนมองเขาด้วยสายตาวิบวับ พวกนางแสดงท่าทีให้เสิ่นเยว่อย่างชัดเจน แต่เสิ่นเยว่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นพวกนาง เขามองไปยังกลุ่มของเนี่ยหลีด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนมองไปยังเหย่จื่อหวินด้วยสายตาที่แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าเขามีเพียงนางในสายตา
            “เลวทราม” ลู่เปียวคำราม “นี่มันใช้เงินฟาดหัวชัดๆ”
            “บัดซบ ใช้เงินหกหมื่นออกมาง่ายๆ ทั้งยังมีแหวนมิติอีก” ตู้เจ๋อกรีดมือวาดไม้ ส่ายหน้าระรัวก่อนหันไปมองเนี่ยหลีกล่าวว่า “เนี่ยหลี คนอย่างพวกมันทั้งหล่อทั้งรวย เราจะไปสู้กับพวกมันได้อย่างไร?”
            “หึๆ จื่อหวินไม่ได้สนใจเงินแค่นั้นหรอก” เนี่ยหลีพูดสบายๆ เขากวาดตามองไปยังเหย่จื่อหวิน นางไม่สนใจการกระทำของเสิ่นเยว่แม้แต่น้อย ทั้งคุยกับเพื่อนๆต่อ ดวงตาของนางมองไปยังเซียวหนิงเอ๋อร์เป็นระยะ หากเซียวหนิงเอ๋อร์กลับยืนใจลอยอยู่ด้านข้าง
            ท่าทีของนางเย็นชาอย่างยิ่ง นางเป็นประหนึ่งหมาป่าไร้ฝูง ทั้งไม่ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ
            เนี่ยหลีรู้ดีว่าสิ่งที่เหย่จื่อหวินต้องการขณะนี้คือมิตรภาพ ชาติก่อน เหย่จื่อหวินอยากเป็นกับเซียวหนิงเอ๋อร์อยู่เสมอ แต่นิสัยของพวกนางกลับทำให้ต้องห่างกันออกไปเรื่อยๆ
            เมื่อเห็นท่าทีของเหย่จื่อหวิน เสิ่นเยว่มีท่าทีผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
            “ดี เหย่จื่อหวินไม่สนใจเงินทอง เนี่ยหลี นางคงไม่ชอบผู้หญิงมั้ง ไม่งั้นนายจบแล้วล่ะ” ลู่เปียวกระพริบตา เอ่ยวาจาเย้าเนี่ยหลี
            เนี่ยหลีหัวเราะ เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของลู่เปียว ชาติก่อนเขาคือชายคนเดียวของเหย่จื่อหวิน
            “ไปกันเถอะ ฉันจะเริ่มแผนของเราแล้ว”
            ทั้งสองเคร่งขรึมลงในพลัน พยักหน้าให้กับเนี่ยหลี
            “ลู่เปียว นายไปซื้อหน้าไม้สองคัน ลูกธนูห้าร้อยดอก หน้าไม้หนึ่งคันราคาหนึ่งร้อยหกสิบเหรียญ ลูกธนูดอกละสามสิบเหรียญ อย่าโดนพวกพ่อค้าหน้าเลือดหลอกเอา” เนี่ยหลีบอกลู่เปียว “เราจะไปเจอกันที่สนามฝึกของโรงเรียน”
            “ได้เลย” ลู่เปียวว่าพลางพยักหน้า ก่อนรู้สึกสงสัยในใจเล็กน้อย เนี่ยหลีเคยซื้อหน้าไม้กับลูกธนูมาก่อนหรือ ทำไมถึงได้รู้ราคาชัดเจนเช่นนี้
            เนี่ยหลีได้เงินเพียงเดือนละห้าสิบเหรียญ แน่นอนว่าไม่สามารถซื้อของแพงเหล่านี้ได้
            “ตู้เจ๋อ เราไปซื้อหญ้าบึงทมิฬ(เฮยเจ๋อเฉ่า)” เนี่ยหลีว่า หญ้าบึงทมิฬมีฤทธ์เป็นยาชาเอง
            สถานการณ์ของตู้เจ๋อย่ำแย่ยิ่งกว่าเนี่ยหลี ดังนั้นเขาย่อมไม่ให้ตู้เจ๋อออกเงินของตัวเอง เป็นเนี่ยหลีที่ต้องจ่ายค่าสมุนไพรเหล่านี้
            หญ้าบึงดำนั้นมีราคาถูกมาก หนึ่งเหรียญจิตมารซื้อได้หลายกำ นอกจากนั้นเนี่ยหลียังซื้อตัวทำละลายระดับต่ำอีกหลายอย่าง ก่อนไปยังเนินเล็กๆข้างนครเพื่อเก็บหญ้าเจียลวี่มาด้วย
            “เอ็งจะทำอะไรน่ะ” ตู้เจ๋อถาม
            เนี่ยหลีหัวเราะอย่างมีเลศนัย “หน้าบึงทมิฬมีฤทธิ์เป็นยาชาอ่อนๆ ปกติเราใช้ทาบนแผลเพื่อลดปวด ส่วนหญ้าเจียลวี่เป็นหญ้าที่พบได้สามัญและไม่มีใครรู้วิธีใช้ แต่ถ้าใช้ร่วมกับตัวทำละลายที่เหมาะสมและหญ้าบึงทมิฬ จะเสริมฤทธิ์ยาชาของหญ้าบึงทมิฬให้รุนแรงยิ่งขึ้น”
            ตู้เจ๋อตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วถามว่า “ยาชามันแรงแค่ไหน?”
            เนี่ยหลีหัวเราะก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้มีฤทธิมากอะไรสำหรับสัตว์ภูติทั่วไปหรอก ฤทธิ์อ่อนกว่ายาชาระดับต่ำด้วยซ้ำ แต่นายรู้รึเปล่าว่าแกะมีเขาไม่กินหญ้าเจี๋ยลวี?”
            “แกะมีเขา?”ตู้เจ๋อทวนคำซ้ำ เงียบไปชั่วครู่ เขานึกอะไรออกบางอย่างจึงถามว่า “เนี่ยหลี นายเป็นนักปรุงยาอย่างนั้นหรือ?ไ
            “นักปรุงยา?” เนี่ยหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหัวเราะ “คงงั้นแหละ”
            นักปรุงยาคือคำที่ใช้เรียกกลุ่มบุคคลที่ใช้สมุนไพรปรุงเป็นยาวิเศษ หรือคนที่ทำยาตามใบสั่ง เนี่ยหลีไม่ใช่นักปรุงยา ชาติก่อนเขาแค่พอมีความรู้อยู่นิดหน่อย แต่มาตรฐานนักปรุงยาของนครเรืองโรจน์ต่ำเกินไปแล้ว พวกนี้ไม่ควรเรียกว่าเป็นนักปรุงยาจริงๆด้วยซ้ำ เนี่ยหลีดูถูกเหล่านักปรุงยาในนครอย่างยิ่ง เมื่อครั้งเนี่ยหลีท่องไปทั่วทวีป เขาเข้าสู่เขตป่าพิษ ผู้คนที่อยู่ที่นั่นใช้พิษต้านพิษของสัตว์ภูติพิษที่บุกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาต่างหากคือนักปรุงยาที่แท้จริง
            เนี่ยหลีเริ่มปรุงยาด้วยการเอาหญ้าทั้งหลายรวมเข้าด้วยกัน ได้ยาออกมาหกขวด
สนามฝึกฝนของสถานศึกษาเสิ้งหลัน
            สนามฝึกฝนนั้นจัดตั้งขึ้นด้วยฝีมือของผู้ใช้ภูติในตำนาน ท่านจ้าวเหย่ม่อ และผู้ก่อตั้งสถานศึกษาซึ่งเป็นผู้ใช้ภูติระดับเหล็กนิล สนามฝึกฝนนั้นล้อมรอบด้วยรั้วสูง ผู้ฝึกวิชาขั้นสูงในนครจะคอยจับสัตว์อสูรระดับต่ำมาไว้ในสนามฝึกฝนทุกปี นักเรียนทุกคนที่ระดับต่ำกว่าระดับเงินสามารถเข้าใช้สนามฝึกฝนได้ตลอดเวลา นักเรียนสามารถล่าสัตว์ภูติ เลาะหนังและขน เก็บเกี่ยวหินวิญญาณและวัตถุดิบอีกหลายอย่างจากสัตว์ภูติ นักเรียนที่มีฐานะยากจนยังสามารถล่าสัตว์เหล่านี้ไปช่วยเหลือครอบครัวได้
            กลุ่มของเนี่ยหลียังไม่บรรลุระดับหนึ่งดาวสำริด ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งไปยังบริเวณที่ปลอดภัยที่สุด มีเพียงฝูงแพะมีเขาเท่านั้นในบริเวณนี้ แม้สัตว์จำพวกนี้จะมีธรรมชาติที่ดุร้าย แต่ก็ยังเป็นแค่สัตว์กินพืช การโจมตีของพวกมันทำได้เพียงสร้างบาดแผลใหญ่เท่านั้น ซึ่งนับว่าปลอดภัยมาก
            กลุ่มของเนี่ยหลีเข้าสู่สนามฝึกฝนโดยได้รับการอนุญาตจากยามเฝ้าประตูเรียบร้อยแล้ว
            ภายในมีต้นไม้อยู่กระจัดกระจาย และมีหญ้าอยู่เต็มทุ่ง แกะมีเขาเดินย่างช้าๆ ตาของพวกมันแดงก่ำ เงี่ยหูฟังรอบตัวเป็นครั้งคราว ถ้ามีคนนอกล้ำอาณาเขต พวกมันจะเข้าจู่โจมอย่างไร้ปราณี
            ทันใดก็เกิดเสียงผิดปกติขึ้น แกะที่อยู่ใกล้กลุ่มของเนี่ยหลีที่สุดส่งเสียงร้อง ก่อนพุ่งเข้าหาบริเวณที่มีเสียงผิดปกตินั้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น