วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Tales of Demons & Gods บทที่ 32 สิ่งที่ตกทอดมา

Tales of Demons & Gods บทที่ 32 สิ่งที่ตกทอดมา



นี่เขาเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร?

     
     ฮูเหยียนหลานเร่อ นางนั้นบรรลุระดับซิลเวอร์ สอง ดาวแล้ว ห้วงขอบเขตวิญญาณของนางได้ผสานเข้ากับจิตวิญญาณอสูรซากุระหิมะ   จิตวิญญาณอสูรชนิดนี้นั้นหาได้ยากมาก พวกมันอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาบรรพชน มันมีความสามารถในการโปรยเสน่ห์ ที่ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่มีสิงมีชีวิตใด ที่เข้าไปใกล้แล้วจะไม่ถูกอสูรซากุระหิมะกลืน หลังจากที่ฮูเหยียนหลานเร่อ ได้ผสานร่างกับจิตวิญญาณอสูรซากุระหิมะ พลังเสน่หาของจิตวิญญาณอสูรจะมีระดับตามผู้ครอบครองมันนั้นเอง


ถ้าหากฮูเหยียนหลานเร่อ ใช้เทคนิคนี้เพียงแค่เล็กน้อย ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่จะสยบต่อนาง เทคนิคหว่านเสน่ห์ของนางไม่เคยผิดพลาดมาก่อน นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะผิดพลาดเป็นครั้งแรกในวันนี้

ไม่เพียงแค่เทคนิคการหว่านเสน่ห์เท่านั้น แต่จิตวิญญาณอสูรของนางนั้นถูกเนี่ยลี่มองออกในเพียงครั้งเดียว  เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ช่างลึกลับยิ่งนัก จิตวิญญาณอสูรซากุระหิมะ เป็นจิตวิญญาณอสูรที่หาได้ยาก และไม่สามารถจับได้ง่ายๆ นางได้รับมาจากปู่ของนางนั่นเองคนส่วนใหญ่จะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของมัน จึงแทบไม่มีใครที่รู้ความสามารถและต้นกำเนิดของมัน


      ฮูเหยียนหลานเร่อ นางรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า นางถึงกับพูดไปออกไปพักใหญ่


     ที่สำคัญก็คือ เทคนิคหว่านเสน่ห์ กลับใช้ไม่ได้ผลกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุระดับบรอนซ์ หนึ่ง ดาว


มีเหตุผลอยู่ สอง ข้อ ที่เทคนิคหว่านเสน่ห์ของนางจะไม่ได้ผล ข้อแรกคือคนคนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเด็กอายุ ห้า ขวบ หรือไม่ก็เป็นยอดฝีมือ ที่รู้เทคนิคการหว่านเสน่ห์ของนางเป็นอย่างดี
    เนี่ยลี่นั้นอายุ สิบสาม ปีแล้ว และรับรู้ถึงความรู้สึกระหว่างชายหญิงอยู่บ้างแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะมีจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์ เช่นดังเด็กน้อย ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นไปได้เพียงแค่เหตุผลที่ สอง

แต่ว่า...มันจะเป็นไปได้อย่างไร?


ฮูเหยียนหลานเร่อ ไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่า สิ่งที่อยู่ในเปลือกหุ้มที่เป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ จะมีระดับวิญญาณของเหนือกว่ายอดฝีมือทั่วๆไป  และอาจจะเหนือกว่ายอดฝีมือระดับตำนานเสียด้วยซ้ำ


เมื่อเห็นอาการตกใจของฮูเหยียนหลานเร่อ เนี่ยลี่ก็ได้แต่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินผ่านฮูเหยียนหลานเร่อไป


     “เนี่ยลี่ ทำไมเหรอ ฮูเหยียนหลานเร่อ นางไม่สวยหรืออย่างไร?” เอียจื่ออวิ๋นมองไปยังเนี่ยลี่ ตาของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นภายใต้ภาพล่อตาล่อใจ เนี่ยลี่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เนี่ยลี่เองก็มีความลับบางอย่างที่พูดไม่ได้


     เนี่ยลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วมองไปที่เอียจื่ออวิ๋น แล้วพูดว่า “ฮูเหยียนหลานเร่อ นางเป็นคนที่สวยมาก แต่จะเทียบได้เช่นใด ถ้าหากเทียบกับเจ้าแล้ว?”

     หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเนี่ยลี่ เอียจื่ออวิ๋นก็กระทืบเท้าลงบนพื้นพร้อมกับพูดว่า

“ข้าจะเอาอะไรไปเทียบกับฮูเหยียนหลานเร่อได้ มีผู้คนมากมายที่เพ้อฝันถึงนาง”


     เอียจื่ออวิ๋นนั้นรับรู้ได้อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่บางคนในตระกูลวายุเหมันต์ก็เพ้อฝันถึงฮูเหยียนหลานเร่อ

เนี่ยลี่นั้นเข้าใจดีกับสิ่งที่เอียจื่ออวิ๋นหมายถึงนั้นคือร่างกายภายนอก ส่วนเอียจื่ออวิ๋นนั้นทั้งนิสัยใจคอและความงดงามของนางแล้วไม่ได้ด้อยกว่าฮูเหยียนหลานเร่อแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามในเรื่องของสัดส่วน รูปร่างของนางนั้นอาจจะดูด้อยกว่าฮูเหยียนหลานเร่อ สักเล้กน้อย


ทำให้เนี่ยลี่นั้นอดขำไม่ได้  เขายิ้มแล้วมองไปยังเอียจื่ออวิ๋น อีกในไม่กี่ปีข้างหน้า รูปร่างของเอียจื่ออวิ๋น นั้นจะไม่แพ้ฮูเหยียนหลานเร่อแม้แต่น้อย และมีเพียงเนี่ยลี่เท่านั้นที่รับรู้ถึงความงดงามและเย้ายวนของเอียจื่ออวิ๋นในเวลานั้น เมื่อเวลานั้นมาถึงเอียจื่ออวิ๋นจะมีเสน่ห์ยั่วยวนใจมากเสียจนฮูเหยียนหลานเร่อไม่อาจจะเทียบได้เลย


เมื่อเห็นสายตาที่แปลกผิดปกติของเนี่ยลี่ เอียจื่ออวิ๋นรู้สึกไม่พอใจแม้ว่าการเป็นสหายกับเนี่ยลี่ นั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่ถึงอย่างนั้นการที่จะคิดอะไรที่เกินเลยไปกว่านั้น นางไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย เอียจื่ออวิ๋นนั้นคิดเพียงแต่การฝึกบ่มเพาะพลังทางวิญญาณ นางต้องการที่ก้าวไปให้ถึงร่างทรงอสูรระดับตำนานเช่นเดียวกับท่านปู่ของนาง


ด้วย[เทคนิคเก้าฟินิกซ์น้ำแข็งหมุนวน]ที่เนี่ยลี่มอบให้นาง ทำให้นางก้าวหน้าไปอีกขั้นราวกับความฝัน ดังนั้นในใจของนางจึงขอบคุณเนี่ยลี่เป็นอย่างมาก ถ้าหากเขาเป็นเหมือนคนอื่นๆที่พยายามเข้ามาใกล้ชิดกับนาง นางก็จะไม่สนใจและเป็นฝ่ายเดินจากไปทันที


        ฮูเหยียนหลานเร่อส่ายหัวไปมาแล้วมองไปที่ด้านหลังเนี่ยลี่ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ข้าจะจัดการกับเจ้าเด็กน้อยเช่นเจ้าไม่ได้!”

          ฮูเหยียนหลานเร่อรู้สึกไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจของนาง หรือว่าเสน่ห์ของนางไม่สามารถเทียบกับเอียจื่ออวิ๋นได้?


        ฮูเหยียนหลานเร่อ มองไปรอบๆ จากนั้นชี้ไปที่เนี่ยลี่แล้วพูดเสียงดังว่า “เนี่ยลี่ สักวันข้าจะทำให้เจ้ามาเป็นทาสใต้กระโปรงของข้า ข้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไล่จับเด็กคนนี้ ในอนาคตเด็กคนนี้จะต้องเป็นของข้า ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะแย่งเขาไปจากข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยคนคนนั้นรอดไปได้!”
หลังจากได้ฟังคำประกาศกร้าวของฮูเหยียนหลานเร่อ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง


ฮูเหยียนหลานเร่อ ต้องการที่จะไล่จับเนี่ยลี่งั้นรึ? ทุกคนต่างมองไปยังเนี่ยลี่ จากนั้นก็หันไปมองฮูเหยียนหลานเร่อ อีกรอบ


หญิงงามเช่นฮูเหยียนหลานเร่อ เพียงแค่นางกระดิกนิ้วผู้ชายมากมายก็จะมาห้อมล้อมนางราวกับเป็นแมลงวัน การที่ ฮูเหยียนหลานเร่อ กลับต้องการที่จะวิ่งไล่จับเนี่ยลี่ นี่มันแปลกเกินไปแล้ว


เอียจื่ออวิ๋นมองไปยังเนี่ยลี่ แล้วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เหมือนกับว่าเนี่ยลี่ช่างมีแต่เรื่องรักๆใคร่ๆ ครั้งแรกตอนที่เซี่ยวหนิงเอ๋อ เอาอาหารเช้ามาให้เขา แล้วตอนนี้ เขาก็ถูกฮูเหยียนหลานเร่อ ไล่จับ นางเห็นว่าจริงๆแล้วเนี่ยลี่อาจจะมีอะไรที่น่าสนใจก็ได้

คำประกาศของฮูเหยียนหลานเร่อ กลายเป็นหัวข้อการพูดคุยของทุกคน แม้แต่เซิ่นหลินเจี่ยน ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

      กลุ่มเดินทางยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า ผ่านภูเขาไปหลายลูกแล้ว

“เนี่ยลี่ นี่เค้กแอปริคอท เจ้าอยากกินบ้างไหม?”

“เนี่ยลี่ เจ้าเหนื่อยไหม ? เจ้าอยากให้ข้าปูเสื่อให้เจ้าพักผ่อนหรือไม่?”

ฮูเหยียนหลานเร่อนางผลุบๆโผล่ๆอยู่ข้างกายเนี่ยลี่อยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นวิญญาณ และใช้หน้าอกอันอวบอิ่มแนบกับแขนของเนี่ยลี่ ด้วยกลิ่นหอมของหญิงสาว ที่อบอวลไปทั่ว หากเป็นเด็กผู้ชายคนอื่นๆ คงจะถูกกระตุ้นด้วยความงดงามและเซ็กซี่ของนาง  พวกเขาคงจะห้ามใจมิให้ถูกฮูเหยียนหลานเร่อควบคุม และกลืนกินไปแล้วเป็นแน่แท้


อย่างไรก็ตาม เทคนิคการหว่านเสน่ห์ของฮูเหยียนหลานเร่อทำได้เพียงแค่กวนใจเนี่ยลี่เล็กน้อยเท่านั้น

“ข้าบอกไปแล้วนะ เจ้ากำลังสร้างความรำคาญให้กับข้าอยู่ ไป ไป ไป ไป ไป ที่ไหนก็แล้วแต่เจ้า ไปไหนก็ไป” เนี่ยลี่โบกมือไล่พร้อมพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ตาของฮูเหยียนหลานเร่อ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง นางไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน หรือว่าเนี่ยลี่จะตาบอด? ตาบอดจนมองไม่เห็นความงดงามของนาง? ยิ่งคิดนางก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น นางโยนเสื่อลงบนพื้นแล้วเดินจากไป

“ฟู่ ในที่สุดก็สงบสุขเสียที!” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาอย่างโล่งใจ ที่ผู้หญิงที่น่ารำคาญหายไปเสียที
แต่หลังจากที่เดินไปไม่กี่ก้าว ฮูเหยียนหลานเร่อ ก็หันกลับมาพร้อมกับพูดว่า

“เนี่ยลี่จ๋า เจ้าอยากจะดื่มอะไรไหม ข้ามีเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่ตรงนี้ "

ได้ยินคำพูดของฮูเหยียนหลานเร่อ เนี่ยลี่ถึงกลับทรุด

“ผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ” เขาถามตัวเองว่า “ทำไมข้าถึงสลัดนางออกไปไม่ได้?”

“นี่เจ้าไม่ได้แกล้งโง่ใช่ไหม? หรือว่าเจ้าก็แค่เบื่อ?” เนี่ยลี่พูดออกมา พร้อมกลับกรอกตาไปมา


    ฮูเหยียนหลานเร่อกระพริบตารัวๆ แล้วพูดอย่างอายๆว่า “ข้ารู้ดีว่าตัวข้านั้นยังไม่คู่ควรกับเจ้า อะไรก็ตามที่เจ้าไม่ชอบข้าในตอนนี้ ข้าเข้าใจ มันเป็นเรื่องปกติ ใครกันหล่ะจะไม่ชอบคนที่งดงามเช่นข้า? ข้าจะแกล้งทำเป็นว่าเจ้ายังตาบอดอยู่ในตอนนี้ แต่อีกไม่นาน เจ้าจะรับรู้ถึงความงดงามและความน่ารักของข้า”

“ข้าคงจะตาบอดแน่ๆ ถ้าหากข้าคบหากับเจ้า” เนี่ยลี่บ่นแล้วรีบเดินจากไป


   “ผู้หญิงคนนี้จะต้องหวังอะไรสักอย่างแน่ๆ!”
แน่นอนว่า เนี่ยลี่ ไม่คิดว่าฮูเหยียนหลานเร่อจะหลงรักเขาจริง ๆ นางแค่อยากจะเล่นสนุกเท่านั้น เขาคิดว่า หากนางเบื่อแล้วคงจะยอมแพ้และจากไปเอง
เนี่ยลี่วิ่งไปยืนข้างๆเอียจื่ออวิ๋น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตก่อนหน้า เอียจื่ออวิ๋นคือคนที่เขารักมากที่สุด พอมายืนใกล้ๆ เอียจื่ออวิ๋น พวกผู้หญิงก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วเริ่มคุยกันเรื่องเนี่ยลี่เบาๆ

"นี่เหรอผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฮูเหยียนหลานเร่อไล่ตามตื้อ?"

"เขาก็ดูหล่อดีนะ"

"ถ้าเขาคู่กับฮูเหยียนหลานเร่อก็เหมาะสมดีนะ!"
ได้ยินการสนทนานี้เนี่ยลี่ก็ได้แต่เหงื่อไหล
เอียจื่ออวิ๋นขยับหัวเล็กน้อยมองไปที่เนี่ยลี่อย่างมีความสุข พร้อมกับพูดขึ้นมาเบาๆว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเดินอยู่กับฮูเหยียนหลานเร่อหล่ะ?”

“จื่ออวิ๋น เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้เป็นอะไรกับฮูเหยียนหลานเร่อ” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น

“ฮูเหยียนหลานเร่อ เจ้านี่มัน...น่ารำคาญเสียจริง ” ถ้าเอียจื่ออวิ๋น เข้าใจผิดในเรื่องนี้ ข้าคงจะต้องหดหู่มากแน่ๆ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” เอียจื่ออวิ๋น  ยักไหล่หันหัวของนางและเดินจากไป ที่มุมปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย นางคิดว่ามันสนุกดีที่ได้เห็นใบหน้ากังวลใจของเนี่ยลี่


เนี่ยลี่อ้าปากแต่ไม่ทันได้พูดอะไรออกไปเขามองไปด้านหลังของเอียจื่ออวิ๋น แล้วเขาก็รู้สึกหดหู่ใจ เมื่อชีวิตก่อนหน้านี้ เขาได้โอบกอดผู้หญิงที่แสนจะงดงามคนนี้ไว้ในอ้อมแขน แต่หนทางยังอีกยาวไกล

เขาจะต้องยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นเป็นอย่างแรก หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี เมืองกลอรี่จะถูกจู่โจมด้วยสัตว์อสูร แม้แต่ปู่ของเอียจื่ออวิ๋น ที่เป็นถึงร่วงทรงอสูรระดับตำนาน ยังสละชีพในการต่อสู้  เนี่ยลี่เองจะต้องบรรลุให้ถึงระดับตำนานก่อนหน้านั้น สำหรับเขานั้นด้วยเวลาอันแสนสั้นมันช่างน่าท้าทายยิ่งนัก

เขาจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงการเดินทางครั้งนี้ ที่ไปยังเมืองกล้วยไม้โบราณ เขาจะต้องเอาตะเกียงเงาพรายมาให้ได้


หลายวันต่อมา เนี่ยลี่ได้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่ได้มาจากชูหยวน แต่ถึงกระนั้น ฮูเหยียนหลานเร่อ ผู้หญิงคนนี้ยังทำตัวน่ารำคาญมากเกินไป ตอนที่เนี่ยลี่ฝึกฝนนางจะมายืนเฝ้าอยู่ข้างๆ เนี่ยลี่ และไม่ยอมย้ายไปไหน ดังนั้นเนี่ยลี่จึงทำได้เพียงเลือกที่จะไม่สนใจนาง


เดินผ่านแนวเทือกเขามาได้สอง วันและผ่านเข้ามาซอกลึกของหุบเขา และพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย หุบเขาอันแสนไกล ในที่สุดก็มองเห็นจุดหมาย


นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่หลงเหลือของเมืองโบราณ ที่มีขนาดพื้นที่โดยรอบประมาณ ร้อยลี้ พื้นที่เกือบทั้งหมดปกคลุมไปด้วยป่าไม้ มีเพียงผนังสีดำด่างโผล่มาเป็นระยะ เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาเป็นระยะ  สัตว์อสูรที่อยู่บริเวณนี้มีตั้งแต่ระดับโกลด์ลงมา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรระดับบรอนซ์และซิวเวอร์เสียมากกว่า


ซากปรักหักพังเหล่านี้ จากอายุแล้ว คงมาจากยุคมืด ที่ยังคงคลุมเครือเป็นเมืองในยุคที่รุ่งเรืองของมนุษย์ในยุคนั้น


ดูจากซากแตกหักของกำแพงและมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่รอบๆ  ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่ามันช่างรกร้างเสียจริง ถ้าเมืองกลอรี่โดนโจมตีจากสัตว์อสูรเหมือนกัน คงจะมีสภาพไม่ต่างจะสถานที่แห่งนี้เป็นแน่ คงเหลือไว้เพียงซากกระดูกและซากปรักหักพังทั่วทุกหนแห่ง


โจมตีอย่างรุนแรงของสัตว์อสุรในช่วงยุคมืดนั้นมนุษย์นั้นแทบสูญสิ้น มีบางคนที่โชคดีเหลือรอดมาได้จากการโจมตีของสัตว์อสูร แต่ก็มีเพียงน้อยนิด แต่ถึงกระนั้น ความรู้และอารยธรรมทั้งหลายก็ได้หายสาปสูญไปพร้อมกับภัยพิบัติแทบทั้งหมด เช่น เทคนิคในการบ่มเพาะพลัง วิชาการต่อสู้ และรูปแบบของอักขระ ที่จารึกไว้ทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ายังมีสิ่งที่หลงเหลือและตกทอดมา รอให้พวกเขาไปเจออยู่ในซากปรักหักพังนั่นเอง


สิ่งที่เนี่ยลี่ต้องการนั้นเป็นตะเกียงเงาพราย สิ่งของที่ทรงพลังมากเป็นจิตวิญญาณอสูรระดับตำนานที่ถูกกักเก็บไว้ตั้งแต่ยุคมืด!!
 ที่มา http://readtdg2.blogspot.com/2016/01/tales-of-demons-gods-40.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น