วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตอนที่ 14 : พลังเทพวิถีฟ้า

ตอนที่ 14 :  พลังเทพวิถีฟ้า


                เมื่อประจุพลังวิญญาณสู่หินในมือ จุดสว่างจำนวนน้อยก็ปรากฏลอยอยู่ในหินวิญญาณ หากแต่ตัวหินวิญญาณยังดูมืดอยู่
                “เห็นเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ เนี่ยหลียังมีพลังวิญญาณน้อยกว่าข้าอีก!” ลู่เปียวพูดพลางหัวเราะร่า
                ตู้เจ๋อตวัดสายตามองลู่เปียวโดยพลัน
                เนี่ยหลีหาได้ใส่ใจ พลังวิญญาณมากน้อยไม่ใช่สิ่งสำคัญ การทหารเน้นที่คุณภาพมิใช่ปริมาณ สิ่งที่เนี่ยหลีสนใจคือรูปลักษณ์ของเวิ้งวิญญาณต่างหาก
                เวิ้งวิญญาณชาด กระจัดกระจาย ไร้ระเบียบ ไร้ธาตุ
                “ไร้ธาตุ รูปแบบไร้ลำดับ” เนี่ยหลียิ้มเจื่อนๆ “ไม่ว่าเวิ้งวิญญาณใดๆล้วนทรงพลัง แต่ถ้าให้ข้าบอกว่าเวิ้งชนิดใดอ่อนด้วยที่สุด เป็นเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุเช่นนี้เอง ด้วยมันไม่มีรูปแบบเฉพาะตัวใดๆ เวิ้งวิญญาณเองก็ไม่อาจรวมตัวกัน ที่แท้เวิ้งวิญญาณดังเดิมข้าเป็นเช่นนี้ เมื่อฝึกฝนปราณหลากหลายชนิดยิ่งทำให้ข้าไม่อาจควบรวมเวิ้งวิญญาณได้”
                “ไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลังจากใช้เวลาฝึกฝนในห้วงมิติของตำราภูติกาลเร้นลับอย่างยาวนาน ข้ายังมิอาจก้าวข้ามมันไปได้ ต้นตอของปัญหาคือเหตุนี้เอง”
                เวิ้งวิญญาณไร้ธาตุนั้นไม่เสถียรอย่างยิ่ง เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
                เนี่ยหลีจมลงในห้วงความคิด วิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุมีเพียงสามวิชา คือ พลังเทพวิถีฟ้า
(เทียนเต้าเสินเจว๋) พลังเทพสัประยุทธ์ (โต่วจ้านเสินเจว๋) พลังเทพอนัตตา (ซวีคงเสินเจว๋) ในวิชาทั้งสามนี้ พลังเทพวิถีฟ้าสุดลึกล้ำ พลังเทพสัประยุทธ์สุดกราดเกรี้ยว พลังเทพอนัตตาสุดลี้ลับ หากจะว่ากันถึงช่วงหลัง พลังเทพวิถีฟ้านับว่ามีความสามารถสูงที่สุด แต่ก็ฝึกฝนยากที่สุดเช่นกัน
                เมื่อเป็นเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุ ไม่ว่าฝึกฝนพลังใดก็ช้ากว่าผู้อื่นอยู่ช่วงใหญ่ แต่หากผู้ใดได้ฝึกฝนพลังเทพวิถีฟ้า นี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยมันสำแดงลักษณะเด่นของเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุออกมาได้อย่างดี ทั้งเมื่อสำเร็จวิชานี้แล้วยังสามารถฝึกฝนพลังปราณสายใดธาตุใดก็ได้ นั่นทำให้ผู้ฝึกมีพลังล้ำเลิศและบุกเบิกหนทางใหม่ขึ้นได้
                เมื่อฝึกฝนปราณทั่วไป ผู้ใช้ภูติสามารถครอบครองจิตภูติได้เพียงหนึ่ง เมื่อได้รับจิตภูติที่แกร่งกว่าเดิม ก็จำต้องสลับออก แต่ด้วยพลังเทพวิถีฟ้า ผู้ฝึกสามารถครอบครองจิตภูติไว้ในร่างถึงเจ็ดตนเจ็ดธาตุ ทุกครั้งที่ครอบครองจิตภูติ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อครอบครองได้ครบเจ็ดตน พลังการฝึกฝนจะทะลุขีดจำกัดเหนือจินตนาการ
                เนี่ยหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าความเร็วในการฝึกจะเชื่องช้ากว่าลู่เปียวและตู้เจ๋อมาก ถึงกับช้ากว่ากลุ่มสามสหาย แต่เมื่อการบำเพ็ญบรรลุถึงบั้นปลาย พลังเทพวิถีฟ้าคือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่มีที่สงสัย
                เนี่ยหลีสวดเคล็ดวิชา ก่อนเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ชั้นพื้นฐาน ในอนาคตเด็กชายอาจต้องพึ่งพายาวิเศษอีกจำนวนมาก แต่ ณ ขณะนี้เพียงฝึกฝนพื้นฐานเบื้องต้นก็เพียงพอแล้ว
                เห็นเนี่ยหลีเริ่มต้นการฝึกฝน ตู้เจ๋อและพวกก็ไม่รอช้า เริ่มสวดเคล็ดความวิชาของตนโดยพลัน ร่างกายของทั้งหมดเริ่มดูดซับพลังฟ้าดินเพื่อเพาะสร้างพลังในเวิ้งวิญญาณ ยิ่งฝึกฝน พวกมันยิ่งรับรู้ว่าวิชาของพวกตนนั้นลี้ลับและลึกล้ำเพียงใด
                รอบกายทั้งหกเปล่งเวิ้งวิญญาณของตนออกมา หมุนวน กระเพื่อม และขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว
                ไม่ว่าจะเป็นตู้เจ๋อ ลู่เปียวหรือกลุ่มสามสหาย พลังวิญญาณของพวกมันล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
                การเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณนั้นรวดเร็วจนน่าตื่นตระหนก อย่างไรเสียวิชาปราณที่เนี่ยหลีมอบแก่ทุกคนล้วนเป็นพลังที่สะท้านสะเทือนปฐพีทั้งสิ้น เมื่อเริ่มฝึกฝน ความเร็วในการฝึกฝนนั้นรวดเร็วกว่าวิชาสามัญนับร้อยเท่า
                ตัวเนี่ยหลีเองฝึกฝนพลังเทพวิถีฟ้า สำหรับมันในขณะนี้ความเร็วในการฝึกฝนนั้นหาได้สำคัญไม่ มันยินดีเพาะสร้างรากฐานพลังขึ้นไปทีละขั้น เวิ้งวิญญาณของมันกระเพื่อมประหนึ่งคลื่นน้ำในมหาสมุทธ เปลี่ยนรูปร่างของมันไปช้าๆ พลังวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลงสลับกัน เด็กชายรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณของมันแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน
                การเพาะสร้างพลังวิญญาณในระยะแรกเน้นที่จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเสริมสร้างพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เวิ้งวิญญาณก็ค่อยๆกระเพื่อมรุนแรงขึ้น เปล่งรัศมีสีฟ้าเรือง
                เนี่ยหลีและพวกฝังตัวเองไว้ในหอสมุด ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง
                หนึ่งวัน สองวัน พลังวิญญาณของเนี่ยหลีทะยานขึ้นจากห้าเป็นสามสิบจุด
                นี่นับเป็นความเร็วที่น่าตระหนกยิ่ง หากเสิ่นซิ่วรู้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเนี่ยหลีบรรลุถึงระดับที่น่าตื่นตระหนกนี้ นางจะคิดเห็นอย่างไร?
                ความเร็วของเนี่ยหลีกลับนับได้ว่าเชื่องช้ามากเมื่อเทียบกับพวกตู้เจ๋อ ลู่เปียว และพวกทั้งสาม โดยเฉพาะตู๋เจ๋อขณะนี้น่าจะเข้าใกล้ระดับสำริดหนึ่งดาราไปแล้ว
                ผู้ใดทำนายได้เล่าว่าเมื่อบรรลุการบำเพ็ญแต่ละขั้น พลังวิญญาณของพวกมันจะพุ่งสูงขึ้นเพียงใด
                การบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราในสองเดือนนั้นถือเป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับเนี่ยหลี เด็กชายมั่นใจว่ามันอาจบรรลุถึงระดับสองหรือสามดาราเลยด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลานั้นท่าทีของเสิ่นซิ่วจะเป็นอย่างไร?
                ขณะเดียวกันในชั้นเรียนนักรบฝึกหัด
                หลายวันมานี้ ที่นั่งของเนี่ยหลีและพวกล้วนว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าพวกมันไปไหน
                “คืนนี้ถึงกำหนดนัดสามวันแล้ว คนแซ่เนี่ยผู้นั้นจะลืมนัดหรือไม่?” เซียวหนิงเอ๋อร์คาดหวังต่อการพบกันในคืนนี้อย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องราวคืนนั้น เซียวหนิงเอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างขวยอาย สองแก้แดงซ่าน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน งดงาม และทรงเสน่ห์นัก เด็กชายรอบกายนางได้แต่มองตาค้างเท่านั้นเอง
                เหย่จื่อหวินปรากฏคำถามในใจ ระยะหลังเซียวหนิงเอ๋อร์มักมีอาการเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง นางนึกสงสัยอย่างยิ่งว่าเซียวหนิงเอ๋อร์มีปัญหาใดติดค้างในใจหรือไม่ นางคงไม่ได้ตกหลุมรักเนี่ยหลีกระมัง? เหย่จื่อหวินไม่เข้าใจ เด็กแซ่เนี่ยผู้นั้นมีดีอันใด เด็กหญิงที่หยิ่งทะนงเช่นเซียวหนิงเอ๋อร์จึงหลงรักมัน
                ขณะเสิ่นซิ่วสอน สายตาของนางกวาดผ่านที่นั่งว่าเปล่าของพวกเนี่ยหลี สบถในใจ “เด็กแซ่เนี่ยนั่นคงกำลังคร่ำเคร่งฝึกฝนสินะ แล้วอย่างไร เด็กบัดซบนั่นคิดว่าเพียงฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งแล้วจะสามารถบรรลุระดับสำริดได้ง่ายๆภายในสองเดือนเช่นนั้นหรือ? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
                หากเนี่ยหลีครอบครองเวิ้งวิญญาณเขียวหรือระดับสูงกว่า เด็กชายอาจสามารถกระทำได้จริงๆ แต่เนี่ยหลีกลับมีเพียงเวิ้งวิญญาณชาดเท่านั้น ในสายตาของนางเนี่ยหลีมีแต่ประตูแพ้ และในเมื่อมันกล้าแข็งข้อกับนางต่อหน้าฝูงชน มันย่อมต้องชดใช้!
                นางคาดฝันถึงภาพของเนี่ยหลีหลังถูกขับออกจากสถานศึกษาว่าจะอเนจอนาถถึงเพียงไหน
                เสิ่นซิ่งแสดงความสะใจออกทางใบหน้าอย่างชัดแจ้งขณะสอนต่อไปเรื่อยๆ “ชาด ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง คือสีของเวิ้งวิญญาณทั้งเจ็ด สีแดงคือลำดับที่ต่ำที่สุด ในประวัติศาสตร์นับร้อยปีของนครเรืองโรจน์ มีเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่บรรลุระดับเงินขาวได้ หากไม่มีโชคชะตาพิสดาร เวิ้งวิญญาณสีแดงบรรจุพลังวิญญาณได้เพียงหกร้อยจุดเท่านั้น ยิ่งเข้าใกล้ระดับนั้นเท่าไหร่ ความยากจะยิ่งยากขึ้นเป็นเงาตามตัว
                ฟังคำของเสิ่นซิ่ว กลุ่มนักเรียนสามัญชนต่างแสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างชัดเจน พลังวิญญาณสูงสุดหกร้อย หมายความว่าหากไม่มีโชคใดๆ มันสามารถบรรลุได้เพียงระดับสำริดห้าดาราเท่านั้น
                เด็กที่มีเวิ้งวิญญาณแดงต่างรำพึงรำพันต่อโชคชะตา ไยต้องมอบมาเพียงระดับต่ำถึงเพียงนี้
                “มีบางสิ่งถูกฟ้ากำหนดไว้ตั้งแต่แรก เราได้เพียงยอมรับชะตากรรม คนบางคนสูงส่งแต่แรกเกิด คนบางคนเป็นได้เพียงสามัญชนคนธรรมดาเช่นกัน!” เสิ่นซิ่วหัวเราะเยาะ
                คิ้วของเหย่จื่อหวินและเซียวหนิงเอ๋อร์ขมวดมุ่นด้วยความรังเกียจในคำพูดของเสิ่นซิ่ว พวกนางไม่ชมชอบเสิ่นซิ่วตั้งแต่แรกพบ คำพูดจาของนางสาหัสเกินไป ขณะที่นครเรืองโรจน์ยังมีภัยจากสัตว์ภูติ หญิงนางนี้ยังคงกระพือความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับคนสูงศักดิ์โดยไม่รู้กาลเทศะ
                นักเรียนสามัญชนกำหมัดแน่น เลือดแดงประหนึ่งจะไหลหลั่งจากใจกลางฝ่ามือ แม้พวกมันจะโกรธแค้นเสิ่นซิ่วเพียงใด แต่พวกมันจำต้องทน ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าขัดแย้งกับอาจารย์ด้วยการท้าพนันออกจากสถานศึกษา            
                พวกมันไม่กล้าที่จะกระทำเช่นนั้น และด้วยเหตุนี้ พวกมันยอมรับความกล้าของเนี่ยหลีอย่างยิ่ง
                ที่เนี่ยหลีไม่รู้คือการหยามหยันนักเรียนสามัญของเสิ่นซิ่วกลายเป็นแรงผลักดันให้นักเรียนทุกคน นักเรียนสามัญแทบทุกคนล้วนหวังให้เนี่ยหลีได้ชัย ขับอาจารย์บัดซบนางนี้ออกไป การกระทำของเนี่ยหลีนั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคน
                เมื่อเวลาผ่านไป เหตุการณ์ที่เนี่ยหลีตบหน้าตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจังและการพนันระหว่างมันกับเสิ่นซิ่วกลายเป็นที่รับรู้กันไปทั่ว แทบทุกคนในสถานศึกษาต่างพูดถึงเรื่องนี้ทั้งสิ้น
                “มันกล้าบอกว่ามันจะเพิ่มพลังวิญญาณจากห้าถึงร้อยในสองเดือน มันไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเกินไปแล้ว”
                “ใช่ แม้แต่สุดยอดอัจฉริยะเวิ้งวิญญาณฟ้ายังไม่กล้าบอกว่าจะสำเร็จได้”
                “ข้าหวังว่าเนี่ยหลีจะกระทำสำเร็จ ข้าเกลียดหญิงนางนี้”
                “ข้าก็ด้วย ถึงโอกาสมันจะริบหรี่ก็เถอะ” นักเรียนเจ็ดในสิบส่วนของสถานศึกษาเป็นสามัญชน เนี่ยหลีต่อต้านเสิ่นซิ่วและตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นปากเป็นเสียงแก่พวกมันนั้นทำให้พวกมันสนับสนุนเนี่ยหลีสุดใจ
                คนจำนวนมากไม่ชอบตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เด็กในสกุลสูงบางส่วนยังรังเกียจเนี่ยหลี
                แม้สกุลเสิ่นกระทำผิด พวกมันยังถือเป็นสามสกุลหลักของนคร การกระทำของเนี่ยหลีคือการล่วงละเมิดผู้อาวุโสซึ่งมีผลต่อการควบคุมผู้คนในอนาคต พวกมันเห็นว่าเนี่ยหลีนั้นคือเศษสวะในหมู่ชนชั้นสูง
                “คนบางคนชอบยืนกับชนชั้นต่ำ ใครจะไปทำอะไรมันได้” พวกมันกล่าวถึงเนี่ยหลี
                เที่ยงวัน
                นักเรียนส่วนใหญ่ของสถานศึกษากำลังรับประทานอาหาร หอสมุดเงียบเชียบ เนี่ยหลีกับพวกรับประทานอาหารร่วมกันก่อนเดินทางกลับหอสมุด
                “เนี่ยหลี พลังวิญญาณของข้าบรรลุถึงแปดสิบเก้าจุดแล้ว ด้วยความเร็วระดับนี้ข้าจะบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราภายในสัปดาห์นี้แล้ว” ตู้เจ๋อกระซิบ น้ำเสียงของมันปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด ความเร็วในการฝึกฝนของพลังปราณนี้ยากจินตนาการ
                “ไม่เลวๆ” เนี่ยหลีกล่าว ความเร็วเช่นนี้เป็นเช่นที่เนี่ยหลีคาด
                ไม่เพียงตู้เจ๋อ ลู่เปียวและพวกต่างก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน พลังวิญญาณของพวกมันเองล้วนก้าวหน้าไปไกล ด้วยความเร็วระดับนี้ พวกมันบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราได้ภายในสองเดือนแน่นอน
                พวกมันเพาะสร้างพลังได้เร็วเกินไป เร็วจนพวกมันไม่เห็นว่าเป้าหมายในชีวิตนั้นเลื่อนลอยอีก พวกมันก้าวหน้าเสมือนอยู่ในฝันเลยทีเดียว
                “ถ้าเรามียาวิเศษ ความเร็วในการบำเพ็ญของเราจะเพิ่มไปกว่านี้อีก” เนี่ยหลีกล่าว
                ฟังคำแล้วพวกทั้งหลายก็ตกใจ พวกมันยังไม่ได้ใช้ยาวิเศษช่วยในการบำเพ็ญ การบำเพ็ญกลับรวดเร็วเพียงนี้ ถ้ามียาวิเศษช่วย จะเร็วขึ้นได้อีกเท่าใด?
                แต่พวกมันจะหายาเหล่านั้นได้อย่างไร?
                ยาวิเศษที่ช่วยในการบำเพ็ญมีราคาหลายหมื่นเหรียญ
                แม้พวกมันจะได้เงินจากการสังหารฝูงแพะมาหนึ่งหมื่นหกพันเหรียญ หักเพียงค่าหินวิญญาณอย่างเดียวก็เหลือแค่หนึ่งหมื่นเหรียญแล้ว
                “พวกเจ้ากลับไปฝึกฝนต่อ ข้ามีธุระในคืนนี้ ข้ายังจะหาวิธีหาเงินเพิ่มจากเงินหนึ่งหมื่นนี้อีกด้วย” เนี่ยหลีกล่าวกลั้วหัวเราะ เมื่อมีเงิน พวกมันจะหาซื้อยาวิเศษเหล่านั้นได้
                พวกมันไม่รู้ว่าเนี่ยหลีวางแผนอะไร แต่ในเมื่อเนี่ยหลีมีแผนแล้วพวกมันก็ไม่คิดจะสอด
                คืนนี้เนี่ยหลีกับเซียวหนิงเอ๋อร์มีนัด หากเนี่ยหลีช่วยเหลือนางขจัดโรคภัยได้ นั่นย่อมเป็นผลดี
                ตู้เจ๋อและพวกคิดไม่ถึงว่าธุระที่ว่าคือการไปพบกับเซียวหนิงเอ๋อร์ หาไม่แล้วพวกมันคงเจ็บปวดใจยิ่ง เนี่ยหลีผู้นี้เห็นสตรีมาก่อนสหาย!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น