วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Tales of Demons & Gods บทที่ 41 เสิ่นเฟย

Tales of Demons & Gods บทที่ 41 เสิ่นเฟย

     


 ถ้าเซิ่นหลินเจี่ยนมีความลุ่มหลงจนยอมแพ้ให้แก่การยั่วยวนของทรัพย์สมบัติและยังคงสำรวจต่อไปซึ่งพระราชวังใต้ดิน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วสถานะของพวกเขาจะตกอยูในอันตรายอย่างมาก

           
    ด้วยความโชคดี เซิ่นหลินเจี่ยนนั้นเป็นบรุษที่หนักแน่นผู้หนึ่ง

           
      เมื่อพวกเขาเหล่านั้นกลับมายังบริเวณป้อมหิน น้ำตาของฮูเหยียนหลานเร่อไหลร่วงลงไม่หยุด เมื่อนางได้พบซึ่งเนี่ยลี่

           
      “เนี่ยลี่ เจ้ากลับมาแล้ว วิเศษมากเลย !” ฮูเหยียน หลานเร่อได้พูดพร้อมกันนั้นนางได้ถลาตัวไปหาเนี่ยลี่และกอดเขาไว้แน่น หน้าอกอันเต่งตึงคู่นั้นของนางได้ติดกันอย่างแนบแน่นไปบนหน้าอกของเนี่ยลี่

           

        “ขอบคุณมากที่ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตของตัวเจ้าเองเพื่อช่วยข้าเอาไว้! มิเช่นนั้นแล้ว ข้าคงต้องจบลงภายในท้องของเจ้าวานรยักษ์ฟ้านั่น” ฮูเหยียน หลานเร่อซึ่งตอนนี้หน้าของนางมีสีแดงระเรื่อได้มองเยี่ยงคนรักไปที่เนี่ยลี่

           

  “ข้านั้นกำลังถูกบีบคอจนถึงแก่ความตายโดยเจ้า ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”

           

        เขารู้สึกเสียหน้า ฮูเหยียน หลานเร่อกับแสดงความรักของนางโดยผิดตัว เหตุผลที่เขาสละชีวิตของเขาโดยเข้าขวางทางเจ้าอสูรวานรยักษ์ฟ้าเอาไว้นั้นเป็นเพราะว่าเขาต้องการที่ปล่อยให้เอียจื่ออวิ๋นหนีไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ใช่นาง!

           

          เมื่อได้เห็นท่าทีของเนี่ยลี่ที่ดูไม่มีความสุข ช่วยไม่ได้ที่เอียจื่ออวิ๋นจะหัวเราะออกมา เนี่ยลี่ไม่แม้แต่จะสนใจการเสนอตัวของหญิงที่งดงามอย่างฮูเหยียนหลานเร่อซึ่งได้มอบให้แก่ตัวเขา สมองเขานั้นคงจะอัดแน่นอย่างมีปัญหา อย่างไรก็ตาม การที่ฮูเหยียนหลานเร่อมาเคล้าเคลียใกล้ชิดกับเนี่ยลี่นั้น หัวใจของเอียจื่ออวิ๋นนั้นรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาบ้าง และนางได้พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ

           
“มันคือสมาคมทมิฬ!” คนของเซิ่นหลินเจี่ยนพูดพร้อมกับหายใจเอากลุ่มก้อนอากาศเย็นเข้าไปก้อนใหญ่

           

      เซิ่นหลินเจี่ยนได้มองไปที่ด้านนอกของป้อมหินและเห็นกลุ่มคนในชุดคลมดำหลายคนปรากฏตัวขึ้นในภายในวิสัยทัศน์ของเขาพร้อมกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลดเสียงต่ำลงและพูดว่า “ทางนี้”

           
เซิ่นหลินเจี่ยนนำพาคณะเข้าไปสู่ป่าหนาทึบซึ่งอยู่ด้านหลังของป้อมหิน

           
    “จงระวังตัวให้มากและอย่าทิ้งร่อยรอยใดเอาไว้!”

           
       ภายใต้การคุมคามของสมาคมทมิฬ คณะของเซิ่นหลินเจี่ยนได้วิ่งอย่างลนลาน และเฉียดผ่านจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหลายรู้ว่าจะเกิดผลร้ายขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าพวกเขาถูกพวกสมาคมทมิฬจับได้

           

        เนี่ยลี่ชำเลือกมองไปด้านหลังของเขา และเริ่มคิดในใจของเขาว่า แม้จะเพียงเผชิญหน้ากันอย่างผิวเผิน เนี่ยลี่นั้นได้จดจำกลิ่นอายรอบตัวที่เปล่งออกมาของหัวหน้ามันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหัวหน้าคนนั้นได้เห็นแล้วซึ่งใบหน้าของเขา ดังนั้นแม้เขาจะได้กลับสู่เมืองกลอรี่แล้ว เขาก็ยังคงต้องระวังตัวอยู่มาก
           
           

        นอกจากตระกลูศักดิ์สิทธิ์ ยังคงมีสมาคมทมิฬที่คุกคามเมืองกลอรี่ตลอดมา ทำให้มีเขารู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบทำได้กำลังก่อตัวขึ้นภายในใจของเนี่ยลี่ เขาต้องเสริมความแข็งแกร่งของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มิเช่นนั้นแล้ว เมื่อภัยอันตรายมาถึง เขาจะไม่มีแม้กระทั่งกำลังที่จะปกป้องซึ่งตัวของเขาเอง

           

        หลังจากได้รับมาแล้วซึ่งตะเกียงของจิตอสูรเงาพราย เขาต้องรีบเพิ่มวรยุทธของเขาไปสู่ระดับซิลเวอร์(เพื่อจะได้รวมกับจิตอสูรดวงนี้ได้) หลังจากได้รวมกับจิตอสูรเงาพรายแล้ว เขาจะมีความสามารถที่จะปกป้องตัวของเขาเองได้ระดับซิลเวอร์นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะก้าวถึงสำหรับคนธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับเนี่ยลี่ มันไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

           

         เมื่อเนี่ยลี่และคณะกลับมาสู่เมืองกลอรี่แล้ว พวกคนเหล่านั้นจากสมาคมทมิฬไม่สามารถทำการตามจับพวกเขาได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุก ๆ คนต่างรู้สึกโล่งใจ

           

         ข่าวเรื่องการกลับมาของคณะเซิ่นหลินเจี่ยนได้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วทั่วทั้งเมืองกลอรี่ เรื่องที่น่าตกใจที่สุดคือทรัพย์สมบัติที่เซิ่นหลินเจี่ยนและกลุ่มได้นำกลับมา ทั้งหมดนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจนน่าตกใจเป็นที่สุด มีการประมูลขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งได้ถูกจัดขึ้นและทรัพย์สมบัติที่เซิ่นหลินเจี่ยนได้มานั้นถูกขายในราคาที่สูงอย่างมาก

           

        ความทะยานอยากของเมืองกลอรี่ได้ถูกจุดขึ้น ผู้คนมากมายต่างเริ่มเดินทางไปไปสำรวจนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความหวังที่จะได้รับอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเป็นของพวกเขาบ้าง

           

       พายุนี้(ความกระตือรือร้นหาสมบัติ)ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเนี่ยลี่แม้แต่น้อย เขาได้มาซึ่งตะเกียงของจิตอสูรเงาพรายซึ่งเขานั้นต้องการยิ่งนัก และเช่นกันโดยไม่ได้คาดหวังเขาได้มาซึ่งเศษหน้ากระดาษของตำราจิตอสูรท่องเวลา การเก็บเกี่ยวซึ่งสมบัติที่เขาได้มาในการเดินทางครั้งนี้ได้ไปไกลเกินกว่าที่เขาคิดเป็นอย่างมาก

           

         และในขณะเดียวกัน มีข่าวอื่นตามมาอีกซึ่งทำให้เขาต้องครุ่นคิด เขาได้ยินว่าก่อนที่เซิ่นหลินเจี่ยนและคณะจะกลับมาสู่เมืองกลอรี่ เสิ่นเอียได้กลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีผู้ใดที่กลับมาพร้อมกับเสิ่นเอียเลย สิ่งนี้นั้นค่อนข้างจะน่าแปลกเกินไป

           

       ด้วยกำลังของเสิ่นเอียเพียงผู้เดียว เป็นไปได้เช่นไรที่เขาจะเดินผ่านเส้นทางอันตรายนับไม่ถ้วนและกลับสู่เมืองกลอรี่?

           

       เขาได้คิดย้อนกลับไปเมื่อเขาได้พบกลุ่มคนพวกนั้นซึ่งมาจากสมาคมทมิฬภายในนครกล้วยไม้ศักดิสิทธิ์ ความคิดของเนี่ยลี่ได้ผุดขึ้นซึ่งสิ่งหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ บางทีอาจมีเรื่องลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันระหว่างตระกูลศักดิ์สิทธิ์และสมาคมทมิฬ เขาควรที่จะตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว

           

       มีสัญญาณบ่งบอกมากมายที่เกี่ยวข้องกับตระกูลศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตที่แล้วของเขา การทรยศต่อเมืองกลอรี่นั้นได้แสดงว่าพวกเขานั้นได้ละทิ้งซึ่งความรับผิดชอบของพวกเขามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขามีความโอกาสอย่างมากที่จะเข้าร่วมกับสมาคมทมิฬแล้ว

           

         ในชีวิตที่แล้วของเขานั้น เนี่ยลี่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมาคมทมิฬไม่มากนัก มีเรื่องเล่าว่าสมาคมทมิฬได้ตั้งฐานของพวกมันภายในเทือกเขา บรรพชน อยู่บนที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นความลับและปลอดภัยอย่างยิ่ง

           

      บางทีเมื่อตระกูลศักดิ์สิทธิ์ได้ทรยศต่อเมืองกลอรี่ในชีวิตที่แล้วของเขา พวกเขาได้ตัดสินไปอยู่ร่วมกับสมาคมทมิฬ มิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ซึ่งที่แห่งไหนได้กัน?

           

ให้ตายเถอะ ! ทำไมเขาถึงเพิ่งคิดได้ตอนนี้?!

           

       เนี่ยลี่กำหมัดของเขาไว้แน่นขณะนี้ได้ปรากฏซึ่งเส้นเลือดมากมายบนแขนทั้งสองของเขา ในวันที่เมืองกลอรี่ล่มสลาย เขาได้เห็นครอบครัวของเขาจบชีวิตลงด้วยกรงเล็บของเหล่าสัตว์อสูรด้วยตาคู่นี้ของเขา หลังจากนั้นเขาได้ไปรวมกับกลุ่มผู้รอดชีวิตของเมืองกลอรี่และเดินทางไปยัง[ทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุด] ที่ซึ่งเขาเห็นเอียจื่ออวิ๋นได้ตายลงไปก่อนตัวเขาเป็นสาเหตุให้เขานั้นร่อนเร่ไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ราวกับคนบ้า

           

     แสงหนึ่งนั้นปรากฏฉับพลันในดวงตาทั้งสองของเนี่ยลี่ ไม่ว่าจะเป็นตระกลูศักดิ์สิทธิ์หรือสมาคมทมิฬพวกมันจะต้องถูกกำจัด


สถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ (ที่ห้องสมุด)

           

          หลังจากการกลับมา พลังวิญญาณของเนี่ยลี่ได้ก้าวกระโดดและเติบโตขึ้นทุกวัน เจ้าเศษหน้ากระดาษของตำราจิตอสูรท่องเวลายังคงทำหน้าที่ของมันไม่ยอมหยุด โดยได้ช่วยเคลื่อนพลังวิญญาณของเนี่ยลี่

           

 ด้วยการช่วยเคลื่อนพลังในห้วงขอบเขตวิญญาณของเขา พลังวิญญาณของเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้น

           

       หลังจากนั้นสามวัน ด้วยความช่วยเหลือของหญ้าทะเลหมอกม่วงจำนวนมากและยาทิพย์ ระดับพลังวิญญาณของเนี่ยลี่ในท้ายที่สุดได้ก้าวถึงระดับบรอนซ์สองดาว

           

        ถ้าเขาสามารถไปถึงระดับบรอนซ์สาม ดาวก่อนการสอบในอีกสองเดือนข้างหน้านี้ และแสดงมันระหว่างการสอบ เมื่อนั้นเนี่ยลี่และพรรคพวกจะได้รับความสนใจอย่างสูงจากสถาบันและถูกปฏิบัติเยี่ยงผู้ฉลาดล้ำ จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่เขาได้ โดยผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์หรือตำแหน่งที่สูงกว่าของเมืองกลอรี่ ทุก ๆ คนเหล่านี้จะให้ความสนใจอย่างสูงต่อผู้มีพรสวรรค์ เมื่อเนี่ยลี่ได้ถูกระบุว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แล้ว ตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้ง่ายนัก
           
           
      ยังคงมีเวลาเหลือเฟือจะกระทั่งถึงการทดสอบในอีก สองเดือน เนี่ยลี่นั้นมีเวลามากเกินพอ

           

      ข้าง ๆ ของเนี่ยลี่ ตู่ซื่อ หลู่เพียวและคนอื่น ๆ ระดับพลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

           

         ในตอนนี้ เสิ่นเอียนั้นไม่อยู่ในสายตาของเนี่ยลี่อีกต่อไป ขณะที่เวลาได้เคลื่อนผ่านไป เสิ่นเอียตระหนักได้ถึงความห่างของเนี่ยลี่ที่จะมีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็เกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง

           

     ในขณะนี้ มีข่าวลือได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางไปทั่วทั้งสถาบัน


“เจ้ารู้หรือไม่? แม่นางฮูเหยียน หลานเร่อกำลังจับตาดูเนี่ยลี่ทุกวัน ในชั้นเรียนนักต่อสู้ฝึกหัด!”

           

         “เจ้าได้ยินมาบ้างหรือไม่? แม่นางฮูเหยียน หลานเร่อประกาศต่อหน้าฝูงชนว่านางต้องการไล่จับเนี่ยลี่และสุดท้ายได้เกิดเรื่องขัดแย้งกับแม่นางหนิงเอ๋อ”

           

       “เจ้ารู้ไหม? แม่นางฮูเหยียน กับแม่นางหนิงเอ๋อต่อสู้กันเพื่อแย่งเด็กผู้ชาย! และข้ารู้มาว่าเด็กชายคนนั้นเป็นเพียงแค่นักเรียนจากชั้นเรียนนักสู้ฝึกหัด”

           

     ข่าวลือเริ่มจะเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้นอย่างอุกอาจ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงเพียงใด


           
        เสียงซุบซิบได้แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งสถาบัน ทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เรื่องซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงสองคนได้ฉุดแย่งผู้ชายคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของเรื่องนี้ก็คือผู้หญิงเหล่านั้นคือฮูเหยียน หลานเร่อและเซี่ยวหนิงเอ๋อ  ซึ่งทั้งสองต่างก็มีความงดงามและความฉลาดเฉลียวที่หาได้ยากภายในสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคนหนึ่งนั้นที่พวกเขาแย่งกันจักเป็นผู้มีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่อย่างไรก็ตามคนนั้นที่พวกเขาไล่ตามนั้นกลับกลายเป็นเพียงนักเรียนของชั้นเรียนนักสู้ฝึกหัด



        สิ่งเหล่านี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน เมื่อไม่นานมานี้ เนี่ยลี่เริ่มเป็นจุดสนใจ สิ่งแรกเลยเขาได้ทำลายความน่าเชื่อถือของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ และต่อมาเขาได้ยั่วยุซึ่งอาจารย์ของเขา หลังจากนั้นได้มีข่าวแพร่ออกมาว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์ต้องการที่จะกำจัดเขาเสียและตอนนี้สองหญิงงามยังได้ไล่ตามเขาอีก เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เนี่ยลี่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วซึ่งสถาบันแห่งนี้

             

      ฮูเหยียน หลานเร่อได้แวะมาที่ห้องสมุดของสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้เวลาของทั้งคู่อยู่ด้วยกันแต่ถูกหลบหนีโดยเนี่ยลี่ มีเรื่องเล่าว่าหลังจากนั้น ทุก ๆ วันเมื่อสถาบันเลิก ฮูเหยียน หลานเร่อจะคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูของสถาบัน รอคอยเนี่ยลี่

             

      “เนี่ยลี่ ถ้าผู้ควบคุมกฏของสถาบันมาพบว่าเจ้าได้แอบปีนซึ่งกำแพงนี้เพื่อออกไปแล้วล่ะก็ ผลที่ตามมาคงจักไม่ดีเท่าไหร่นักนะ!” ลู่เพียวพูดโดยหัวเราะไปด้วยระหว่างที่เขามองเนี่ยลี่

             

     เนี่ยลี่ได้เปลี่ยนท่าทางของเขาและพูดว่า “ถ้าข้าออกไปซึ่งประตูแห่งนั้น ข้าจักเหมือนวิ่งเข้าสู่นังผู้หญิงบ้านั่น ช่างลำบากเสียจริง!”

             

         “เนี่ยลี่จงพูดความจริงแก่พวกเรา เจ้าไปข้องแวะซึ่งแม่นางฮูเหยียน หลานเร่อได้เช่นไร?” ลู่เพียวถามขึ้นด้วยความที่เขา อิจฉาเนี่ยลี่ที่กำลังถูกไล่ตามโดยหญิงงามเช่นฮูเหยียน หลานเร่อ และเนี่ยลี่ยังทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องแตกต่างอันใด


         สิ่งนี้นั้นทำให้ลู่เพียวพูดไม่ออก ถ้าเป็นตัวเขาแล้วละก็ ไม่มีความจำเป็นต้องให้ฮูเยียน หลานเร่อต้องมาไล่ตามหรอก เขาจะมอบกายของเขาไปกองไว้ที่หน้าประตูบ้านของนางเลย ไม่ต้องคิดถึงเลยเรื่องความยั่วยวนของฮูเหยียน หลานเร่อ เพียงแค่ได้สัมผัสหน้าอกขนาดมหึมาของนางอย่างเดียวนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว ถ้าเนี่ยลี่ไม่ได้บอกพวกเขาว่าเขานั้นได้ชอบซึ่งเอียจื่ออวิ๋นอยู่ พวกเขาคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเนี่ยลี่นั้นคงชอบเพียงแต่ผู้ชายเป็นแน่

             
“ข้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอันใดกับนาง... ผู้หญิงคนนี้เพียงแต่น่าขบขัน!” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย”

             

        “ถ้าเช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางเลือก” ดูเหมือนว่าพวกเราจักต้องไต่ซึ่งกำแพงนี้ออกไปพร้อมกับเจ้าตั้งแต่บัดนี้ไป” ตู่ซื่อหัวเราะพร้อมกับยักไหล่ของเขาไปด้วย เขาไม่ได้สนใจซึ่งเรื่องราวซุบซิบเหล่านี้ เขาเพียงแต่ต้องการมุ่งไปที่การฝึกฝน และเปลี่ยนโชคชะตาให้แก่ครอบครัวเขา เป็นเนี่ยลี่ที่ได้ให้โอกาสแก่เขาที่จักทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นเขาจะสนับสนุนเนี่ยลี่แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม

             

        ในตอนนี้ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งพร้อมกับเครื่องหมายอยู่ในระยะห่างที่ไม่ไกลได้ตะโกนว่า “นี่ พวกเจ้านั้นอยู่ชั้นเรียนอะไรกัน? พวกเจ้ามาทำอะไรซึ่งที่แห่งนี้ รออยู่ตรงนั้นนะ !"


             

     เนี่ยลี่และเพื่อนของเขาต่างมองกันไปมา “ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!” ร่างทั้งหกร่างบินออกมาเหนือกำแพงของสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์และปิดบางอย่างไว้
(ตอนอ่านที่แรกเลยนึกว่าคนเหล่านี้มาช่วยพวกเนี่ยลี่ แต่ที่จริงแล้วตอนที่คนกลุ่มนั้นถามถึงคงเป็นพวกนี้ที่ซ่อนรออยู่ที่กำแพงรอให้คนกลุ่มนี้ปรากฏ แต่พวกเนี่ยลี่ได้ยินเข้าและนึกว่าพูดถึงพวกตน )


สถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ ชั้นเรียนผู้มีพรสวรรค์


กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งเริ่มรวมตัวกันเข้าหากัน

             

      “ฮ่าฮ่าฮ่า!เสิ่นเฟย ได้ข่าวมาว่าคู่หมั้นของเจ้านั้นได้ต่อสู้กับฮูเหยียนหลานเร่อด้วยเรื่องผู้ชายผู้หนึ่ง เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นรึ” เขาประชดอย่างไม่เกรงกลัว และได้เดินผ่านวัยรุ่นตัวสูงอายุประมาณ สิบหกถึงสิบเจ็ดปี พร้อมกับเริ่มหัวเราะ

             

      ชั้นเรียนผู้มีพรสวรรค์ของสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ภายในได้ถูกแบ่งเป็นหลาย ๆ กลุ่ม และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มก็ไม่ลงรอยกันอย่างมาก คนผู้นี้มีชื่อว่า เอียหง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องครอบครัวหนึ่งของเอียจื่ออวิ๋น ตัวเขาค่อนข้างได้รับการยกย่องในชั้นเรียนระดับอัจฉริยะนี้ และตอนนี้เขามาพร้อมกับเหล่ากลุ่มคนซึ่งได้ติดตามเขาโดยที่เขานั้นเป็นศัตรูกับเสิ่นเฟย

             

        เมื่อได้ยินคำพูดของเอียหง เสิ่นเฟยกำหมัดของเขาไว้แน่นโดยแรงดันการกำหมัดนี้เกือบทำให้เลือดของเขาพุ่งออกจากฝ่ามือ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ยังคงไม่ได้ถูกยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเรื่องซุบซิบเหล่านี้ที่แพร่กระจายภายในสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เสิ่นเฟยอับอายขายหน้ามากเป็นที่สุด

             

         “ข้าได้ยินมาจากน้องสาวของข้าว่าแม่นางคนนั้นไม่ได้ชอบเจ้าเลย” ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมต้องฝืนใจนางด้วยล่ะ ? เพียงแค่เจ้าปล่อยนางไป เจ้าจะได้หลีกเลี่ยงได้ที่จักกลายเป็นสามีผู้ซึ่งภรรยามีชู้ได้ภายในวันหนึ่งข้างหน้า!?  

           

          เอียหงหัวเราะด้วยความที่เขาเป็นญาติกับเอียจื่ออวิ๋นดังนั้นเขาถึงได้ยินเรื่องราว หนึ่งถึงสองสิ่งเกี่ยวกับเซี่ยวหนิงเอ๋อ ภายใต้อิทธิพลของตระกูล เขานั้นจะคอยหาเรื่องกับเสิ่นเฟ่ยภายในชั้นเรียนไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาทำได้

             

        ถึงแม้ว่า เสิ่นเฟยรู้สึกโมโห เขาสงสัยว่าทำไมเอียหงถึงได้ตามรังควาญเขาอยู่ทุกครา เขานั้นไม่มีทางเลือก สถานะของเอียหงนั้นได้กดเขาให้ตกต่ำลง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะร้ายกาจเพียงใด ตัวเขายังคงเลือกที่จะไม่เผชิญหน้าตรง ๆ กับเอียหง


             
         อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ เสิ่นเฟยไม่สามารถทนซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้อีกต่อไป เขาพ่นลมหายใจออก “ไม่มีใครสามารถแย่งผู้หญิงของข้าไปได้” ถ้าข้าไม่สามารถได้นาง เมื่อนั้นผู้อื่นก็ทำได้แต่ฝันไปเท่านั้นแหละว่าจะได้ไป จบตอน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น