วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตอนที่ 4 หนึ่งล้านเหรียญจิตมาร

ตอนที่ 4 : หนึ่งล้านเหรียญจิตมาร


            เนี่ยหลีเพ่งพิจารณาเซียวหนิงเอ๋อร์ นางมีรูปร่างบอบบาง สวมกระโปรงสั้นสีเหลืองกับรองเท้าบูทส้นสูง ผมดำยาวเคลียบ่า นางมีดวงตาที่กระจ่างสุกใส คิ้วโค้งเรียว และขนตายาวงอน ผิวขาวใสอมชมพู ริมฝีปากแดงประหนึ่งกลีบกุหลาบ หากแม้มีรูปลักษณ์ที่ทรงสเน่ห์ นางกลับเปล่งบรรยากาศที่ยากเข้าถึง ความงดงามอย่างบ้าคลั่งตัดกับความเฉยชาประดุจน้ำแข็งยิ่งทำให้ภาพพจน์ของนางมีมิติยิ่งกว่าเดิม
            เนี่ยหลีหรี่ตาลงเมื่อเขาจำได้ว่าเซียวหนิงเอ๋อร์เป็นบุตรีคนเดียวคนเดียวของบ้านหลักตระกูลมังกรเหิน หนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ พรสวรรค์ของนางเพียงเป็นรองเหย่จื่อหวินแค่คนเดียว ก่อนนครจะล่มสลาย นางเป็นผู้ใช้ภูติระดับเงินที่ได้รับการขนานนามว่าดาวคนคู่(ซวงจื่อซิง – ราศีเมถุน – เจมิไน)
            ปัญหามีอยู่ว่าตระกูลมังกรเหินนั้นต้องคลุมถุงชนนางให้ตบแต่งแก่สกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับความสนับสนุนจากตระกูลหลัก นางถูกกำหนดให้ตบแต่งให้พี่ชายของเสิ่นเยว่เอง แต่ด้วยนางไม่ต้องการแม้แต่น้อย นางจึงละทิ้งครอบครัวหนีเข้าป่ามารทมิฬในแนวเขาบูรพชน
            ช่างเป็นหญิงใจกล้านัก!
            เนี่ยหลีเสียใจแทนเซียวหนิงเอ๋อร์ยิ่ง หากมีโอกาส เขาจะช่วยเหลือนางแน่นอน แต่ถามว่าเป็นเพราะหลงใหลนางหรือไม่ เนี่ยหลียืนยันชัดว่าไม่ ในใจเขามีเพียงเหย่จื่อหวินเท่านั้น
            “ในการทดสอบอีกสองเดือนหน้า ฉันหวังว่าเราจะมีผู้บรรลุชั้นหนึ่งดาวสำริดเพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าฉันหรือสถานศึกษาย่อมภาคภูมิใจในตัวพวกเธออย่างยิ่ง” เสิ่นซิ่วกล่าวกลั้วหัวเราะ
            สำริด เงิน ทอง เหล็กนิล ตำนาน ทั้งห้าชั้นแบ่งย่อยออกเป็น 1-5 ดาว และระดับสำริดหนึ่งดาวคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด
            เมื่อความแข็งแกร่งของนักรบ หรือพลังวิญญาณของผู้ใช้ภูติบรรลุถึง 100 เมื่อนั้นจึงเรียกว่าบรรลุชั้น 1 ดาวสำริด การก้าวเข้าสู้ระดับยากเข็ญแสนสาหัส คนจำนวนมากล้มเหลวแม้แต่จะบรรลุเป็นนักรบหรือผู้ใช้ภูติที่แท้
            ฟังคำของเสิ่นซิ่ว นักเรียนในชั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบ นักรบระดับหนึ่งดาวสำริดนั้นต้องยกหินใหญ่ร้อยจิน(หน่วยวัดน้ำหนักจีนโบราณ) ต่อยต้นไม้อวบเท่าแขนล้มได้ในหมัดเดียว สำหรับเด็กทั้งหลาย นี่เป็นเรื่องยากเกินคาดหวังเว้นแต่เด็กที่ได้ยาบำรุงแต่กำเนิด ส่วนผู้ใช้ภูตินั้นต้องเพาะสร้างพลังวิญญาณในร่างให้ได้ นั่นยากกว่าหลายเท่า
            เวิ้งวิญญาณแบ่งออกเป็นเจ็ดสี ชาด ส้ม เหลือง เขียว คราม ฟ้า ม่วง คนธรรมดามีเวิ้งวิญญาณชาด การจะกลายเป็นผู้ใช้ภูตินั้นแทบเป็นไปไม่ได้ พวกเขามักเลือกจะเป็นนักรบ เวิ้งวิญญาณส้มและเหลืองเหมาะสมที่จะฝึกฝนมากกว่า ส่วนเวิ้งวิญญาณเขียวหรือครามควรถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์เด่นล้ำทีเดียว
            เหล่านักเรียนต่างมองไปยังทั้งสามด้วยความอิจฉา เพราะกลุ่มนี้จะได้เป็นกลุ่มเดียวที่บรรลุชั้นสำริดได้ภายในครึ่งปี หลังจากบรรลุแล้ว พวกเขาสามารถเลือกที่จะเข้าชั้นเรียนของนักรบหรือผู้ใช้ภูติเต็มขั้นได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมชั้นกับพวกเขาอีก
            เสิ่นเยว่แอ่นอกด้วยความภาคภูมิใจเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนนักเรียน ในฐานะของคนจากตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ เด็กชายได้รับยาเพาะสร้างทุกชนิดตั้งแต่เยาว์ บัดนี้เขาแซงหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปไกล เรื่องที่จะเพาะสร้างพลังวิญญาณให้ถึง 100 ในสองเดือนนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย
            เสิ่นเยว่เหลือบมองเหย่จื่อหวิน มีแต่เขาเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง เนี่ยหลีนับเป็นตัวอะไร มันกล้าท้าพนันกับป้าของเขาว่าจะเป็นผู้ใช้ภูติชั้นหนึ่งดาวสำริดภายในสองเดือน ช่างผยองเสียจนไม่รู้ความ เนี่ยหลีคิดว่าการบรรลุระดับหนึ่งดาวสำริดนั้นง่ายนักหรือ? ขยะเวิ้งวิญญาณชาดเช่นมันกล้าเอ่ยวาจากำแหงเช่นนั้น เฮอะ!
            เหย่จื่อหวินกับเซียวหนิงเอ๋อร์มองตากัน ทั้งคู่มีชาติกำเนิดสูงส่ง เหย่จื่อหวินต้องการคบหาเป็นเพื่อนกับเซียวหนิงเอ๋อร์ตลอดมา แต่นางกลับมองเหย่จื่อหวินเป็นคู่แข่ง มองเป็นเป้าหมายซึ่งนางพยายามไล่ตามอยู่คลอดเวลา
            เสิ่นซิ่วมองเนี่ยหลีด้วยความเหยียดหยาม ก่อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนว่า “สำหรับคนบางคนที่กล้ารับประกันว่าจะบรรลุระดับหนึ่งดาวสำริดในสองเดือน ฉันจะคอยดูว่ามันจะไปได้แค่ไหนกัน!”
            สำหรับคนทั่วไป เวิ้งวิญญาณและความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นตัวตัดสินความสามารถในการบำเพ็ญเพียร สำหรับระดับกลางๆแล้ว คนคนหนึ่งต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีเพื่อเปิดประตูเข้าสู่ระดับทั่วไป แม้จะมีระดับหนึ่งดาวสำริดแล้ว การจะเป็นผู้ใช้ภูติทั้งๆที่มีเวิ้งวิญญาณชาดยังเป็นเรื่องเพ้อฝันอยู่ดี
            หากเนี่ยหลีมิได้ใส่ใจคำพูดของเสิ่นซิ่วแม้แต่น้อย
            “สองเดือน? ยังพอมีเวลาเตรียมตัว” เนี่ยหลีกล่าว มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
            “คอยดูไปสิ ฉันจะบรรลุระดับหนึ่งดาวสำริดภายในสองเดือนให้ได้!”
            เนี่ยหลี ลู่เปียว และตู้เจ๋อกระซิบคุยกัน
            “เนี่ยหลี นายชอบจื่อหวินเหรอ?” ลู่เปียวถามพลางมองไปยังเนี่ยหลี
            “แน่นอน” เนี่ยหลีตอบ
            ลู่เปียวมองตาเนี่ยหลีอยู่ครู่ก่อนถอนหายใจ “จื่อหวินน่ะสวยอยู่หรอก เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ฉันจะไม่แย่งชิงกับนาย แต่ในฐานะพี่น้อง ฉันขอเตือนนายซักคำ เหย่จื่อหวินน่ะสูงศักดิ์เกินไป พวกเราไม่คู่ควรกับเธอหรอก”
            แม้ว่าครอบครัวของลู่เปียวจะมาจากยี่สิบตระกูลยศฐา แต่เหย่จื่อหวินนั้นห่างไกลกับเขาเหมือนดาวบนฟ้า
            “พวกเอ็งสองคนแหกตาดูความเป็นจริงเสียบ้างได้ไหม เหย่จื่อหวินเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่มีเวิ้งวิญญาณคราม อีกไม่นานเธอก็จะบรรลุระดับหนึ่งดาวสำริด ฉันแน่ใจว่าภายในสองเดือนนี้เป็นไปได้แน่นอน หลังจากเข้าชั้นเรียนมาตรฐานของผู้ใช้ภูติแล้ว การฝึกฝนของนางจะยากลำบากขึ้นไปอีก ไม่นับเรื่องที่ว่านางจำพวกเอ็งได้ไหม แต่ที่ฉันเกลียดที่สุดคือไอ้พวกลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ล่าตามชายกระโปรงผู้หญิงนี่แหละ ไม่รู้จักทุ่มเทให้การฝึกฝนบ้างเรอะ?!” ตู้เจ๋อคำราม
            “นายว่าไงนะ? ลูกหลานตระกูลใหญ่บ้าผู้หญิงงั้นเรอะ บัดซบ ข้าฝึกหนักนะโว้ย อย่างมากข้าก็ใช้เวลาคิดถึงพวกนางแค่ครึ่งวันล่ะวะ” ลู่เปียวยักไหล่
            “สวรรค์ นี่ข้ามายุ่งกับคนบ้าจำพวกไหนนี่” ตู่เจ๋อว่าพลางกลอกตาเหลือก
            พรสวรรค์ของตู้เจ๋อนั้นไม่แย่ เขามีเวิ้งวิญญาณเหลืองร่วมกับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง หลังจากนี้ยังได้พบประสบการณ์พิเศษอีกหลายครั้งทำให้เขาบรรลุระดับหนึ่งดาวทองคำได้ เขาชักนำตระกูลเข้าเป็นหนึ่งในตระกูลยศฐาซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่อัศจรรย์
            ตู้เจ๋อเป็นคนที่สัตย์ซื่อ ติดแต่จะคร่ำครึและจริงจังไปบ้าง ตรงข้ามกับลู่เปียวผู้เป็นคุณชายน้อยเจ้าสำราญ แม้จะมีเวิ้งวิญญาณชาด หากพรสวรรค์การต่อสู้สูงมาก ถ้าเขาทุ่มเทให้กับการฝึกฝน ระดับเขาคงสูงล้ำ ปัญหาอยู่ที่ว่าลู่เปียวนั้นติดจะขี้เกียจ ในชาติก่อนเขาบรรลุเพียงระดับเงินเท่านั้น แตกต่างกับตู้เจ๋ออย่างชัดเจน
            แต่ชีวิตนั้นซับซ้อนนัก แม้ทั้งสองจะแตกต่างกันสุดขั้น แต่กลับคบหากันเป็นพี่น้องในชาติก่อน
            ฟังทั้งสองเถียงกัน ชาติก่อนเนี่ยหลีเห็นว่านี่ดูไม่ดีนัก หากแต่ยามนี้เขากลับซาบซึ้งใจยิ่ง เขาได้พี่น้องเช่นนี้ ยังต้องเสียใจอะไรอีก
            “เนี่ยหลี ข้าว่าแกเลิกเถอะ ตั้งใจบำเพ็ญเพียรดีกว่า” ตู้เจ๋อว่า พยายามโน้มน้าวจิตใจเขาเต็มที่ ถ้าเนี่ยหลีตกหลุมรักนางจริงจัง นั่นคงเป็นโศกนาฏกรรมฉากหนึ่ง
            ชาติก่อน เนี่ยหลีไม่อาจหยุดรักนางได้จนกระทั่งพบว่านางมีพันธะหมั้นหมายกับเสิ่นเยว่ หากในชาตินี้ถ้าเขายังคงอ่อนแอเป็นเศษไม้เช่นนี้ คงต้องฆ่าตัวตายเสียก่อนแล้ว
            “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไร และฉันจะทำมันให้ได้” เนี่ยหลีพูดอย่างมั่นใจ ฟังคำแล้วตู้เจ๋อกับลู่เปียวก็ชะงักไปครู่ พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเนี่ยหลีจะมั่นใจถึงเพียงนี้ หลังเห็นท่าทีของเนี่ยหลี พวกเขายิ่งรู้สึกว่าเนี่ยหลีทำมันได้จริงๆ ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกอารมณ์ของเนี่ยหลีกระตุ้น
            ตู้เจ๋อคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยปาก “ดี ไม่ว่าเอ็งจะทำยังไง พวกข้าจะสนับสนุน”
            รับโทษทัณฑ์ยืนด้วยกันเช่นนี้ พวกเขาเริ่มเพาะสร้างสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่ง
            “ตู้เจ๋อ ลู่เปียว ฉันจะทำให้พวกนายทั้งสองเป็นผู้ใช้ภูติที่แกร่งที่สุด” เนี่ยหลีพูดอย่างหนักหน่วง ชาติก่อนทั้งสองร่วมเป็นร่วมตายกับเนี่ยหลี ช่วยชีวิตเนี่ยหลีไว้หลายครั้ง ตอนนี้เขากลับมาแล้ว เขาย่อมต้องช่วยเหลือทั้งสองบรรลุความฝันของตน
            “ลืมมันไปเถอะ ฉันมีแค่เวิ้งวิญญาณแดง ด้วยการสนับสนุนของครอบครัว เป็นนักรบน่ะพอไหว แต่เป็นผู้ใช้ภูติคงยากไป” ลู่เปียวว่า
            “เป็นนักรบไปแล้วได้อะไร ยิ่งปีนขึ้นสูง ยิ่งฝึกฝนยาก แถมยังเทียบชั้นกับผู้ใช้ภูติไม่ได้อีก ในสมรภูมินักรบในตำนานเทียบชั้นกับผู้ใช้ภูติระดับเหล็กนิลไม่ได้ด้วยซ้ำ ผู้ใช้ภูตินี่แหละมีพลังต่อสู้ที่ทรงพลังแล้ว” ตู้เจ๋อเถียง เขาฝันจะเป็นผู้ใช้ภูติ และเพื่อตามล่าฝันเขาจะทุ่มเทสุดตัว นี่คือหลักการประจำตัวของเขา
            “ไม่ต้องเป็นถึงนักรบในตำนานหรอก แค่ระดับทองฉันก็พอใจแล้ว” ลู่เปียวพูดเนือยๆ ไม่ได้รับแรงบันดาลใจแม้แต่น้อย ตู้เจ๋อเองถึงกับหมดคำพูด ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับคนไม่มีเป้าหมายแล้ว
            “นายมีเวิ้งวิญญาณชาดแล้วยังไง ฉันก็มีเวิ้งวิญญาณชาด” เนี่ยหลีว่าพลางมองไปยังลู่เปียว
            ลู่เปียวกับตู้เจ๋อทำหน้างง เนี่ยหลีมีเวิ้งวิญญาณชาดกลับกล้าบอกว่าจะบรรลุระดับสำริดภายในสองเดือน เขามีวิธีลัดหรืออย่างไร?
            “เนี่ยหลี นายมีวิธีเพาะสร้างพลังวิญญาณเพื่อยกระดับของผู้ใช้ภูติรึ” ตู้เจ๋อถาม เด็กชายสงสัยใจยิ่ง ด้วยสิ่งที่เขารู้มาคือไม่เคยมีทางลัดในการบำเพ็ญมาก่อน
            “เชื่อฉัน ตราบเท่าที่นายยังไม่ท้อ นายจะเป็นผู้ใช้ภูติที่ทรงพลัง”
            “ท้อแท้? ไม่มีทาง” ตู้เจ๋อพูดอย่างเชื่อมั่น เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาของครอบครัว ถ้าเป็นเรื่องนี้เขาไม่มีทางท้อแท้เด็ดขาด
            ถ้ามีโอกาสเป็นผู้ใช้ภูติ ลู่เปียวย่อมยินดียิ่ง ถ้าเขาได้เป็นผู้ใช้ภูติ พ่อคงไม่ตีเขาเรื่องขี้เกียจอีก ลู่เปียวเป็นคนประเภทที่ถ้ามีโอกาสอยู่ตรงหน้า เขาจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
            “มันยากรึเปล่าน่ะ?” ลู่เปียวพึมพำ
            ตู้เจ๋อชักสีหน้า หมดหวังแล้ว หมอนี่หวังจะเป็นผู้ใช้ภูติโดยไม่ผ่านความยากลำบาก เป็นผุ้ใช้ภูติจะไม่ลำบากได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นผู้ใช้ภูติได้ เขายินดีทำทุกอย่างไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน
            “ไม่มีปัญหาหรอก” นี่หลีตอบพลางพยักหน้า องคาพยพบนใบหน้าของเขาเรียบเฉยพลางบอกต่อว่า “เราแค่ต้องใช้เงินจำนวนมาก”
            “ถ้าแค่มีเงินก็แก้ปัญหาได้ งั้นก็ง่ายมาก” ลู่เปียวว่าพลางถอนหายใจ “ต้องใช้เท่าไหร่น่ะ ฉันมีเยอะอยู่ สะสมไว้สองพันเหรียญแล้ว ถ้าฉันเป็นผู้ใช้ภูติได้ จ่ายหมดหน้าตักก็ไม่เป็นไร”
            ถ้าสองพันเหรียญจิตมารทำให้คนเป็นผู้ใช้ภูติได้ งั้นก็ง่ายเกินไปแล้ว
            น่าเสียดายที่เนี่ยหลีเอ่ยต่อว่า “สองพันเหรียญจะทำอะไรได้? ไม่มีทางพออยู่แล้ว เราต้องการอย่างน้อยหนึ่งล้านเหรียญ หรืออาจจะสิบล้านด้วยซ้ำ!”
            สิบล้านเหรียญจิตมาร! ตู้เจ๋อกับเนี่ยหลีสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หนึ่งล้านเหรียญคือรายได้ประจำปีของตระกูลยศฐา เขาจะไปหาเงินขนาดนั้นได้อย่างไร?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น