วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Tales of Demons & Gods บทที่ 36 ตำราตัวเลขวิทยา

Tales of Demons & Gods บทที่ 36 ตำราตัวเลขวิทยา



                 

     ระหว่างการวิ่งไปพร้อมกับเอียจื่ออวิ๋นและคอยหลีกเลี่ยงเจ้าพวกวานรยักษ์ฟ้าระดับทั่วไปไปด้วยนั้น เวลากลางคืนเริ่มมืดลง ถ้าพวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย พวกเขาจะต้องพบเจอกับอันตรายอยู่เบื้องหน้าแน่นอน


               “มาตั้งที่พักที่นี่กัน !” เนี่ยลี่มองตรงไปยัง เอียจื่ออวิ๋นและกล่าวขึ้น


               แม้ว่าคืนนี้นั้นจะเป็นคืนที่มืดสนิท เอียจื่ออวิ๋นยังคงแสดงท่าทีที่กล้าหาญมากกว่าผู้หญิงปกติทั่วไป ดวงตาที่เฉียบคมของนางเพ่งมองไปยังป่ารกเบื้องหน้า และมองเห็นเงาอะไรบางอย่าง


               “นั่นคืออะไร?” เอียจื่ออวิ๋นถาม ด้วยความสงสัย


               “เหมือนจะเป็นสิ่งก่อสร้างบางอย่าง” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับครุ่นคิด มันน่าจะเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง


               “พวกเราไปดูที่สิ่งนั้นกันเถอะ”เอียจื่ออวิ๋นเชิญชวนพร้อมกับก้าวยาว ๆ ไปสู่ทิศทางของซึ่งตั้งของสิ่งนั้น สำหรับนางการที่ต้องมาอยู่กับเนี่ยลี่ตามลำพังนั้น ทำให้นางหวาดหวั่นเล็กน้อย และจริง ๆ แล้ว นี้เป็นครั้งแรกของนางที่ต้องมาอยู่กับเด็กผู้ชายในตอนกลางคืนเช่นนี้ แม้ว่านางมั่นใจว่าเนี่ยลี่นั้นจะไม่ทำเรื่องที่ไม่ดีกับนาง แต่หัวใจของนางยังคงเต้นอย่างรุนแรง ดังนั้นนางจึงพยายามที่จะเปลี่ยนประเด็นไปสู่การมุ่งไปที่ซึ่งสิ่งนั้นตั้งอยู่ เนี่ยลี่ตามหลังเอียจื่ออวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น


               “สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นรูปปั้นของบางสิ่ง!” เนี่ยลี่พูด เขาไม่สามารถคิดออกได้เกี่ยวกับรูปปั้นนี้ว่ามันคืออะไรเมื่อมันได้พังทลายคงเหลือไว้แต่ซากแบบนี้


               นี่คงจะเป็นเศษซากของอารยธรรมที่มีเคยอยู่ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคมืด


               “คำเหล่านี้มันคืออะไรกัน”เอียจื่ออวิ๋นมองดูที่เนี่ยลี่และถามขึ้น


               มีแผ่นจารึกที่ทำจากหินอยู่ข้างใต้รูปปั้น เนี่ยลี่ปัดฝุ่นออกจากแผ่นจารึกและด้วยแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา เขาสามารถที่จะอ่านและเข้าใจเนื้อความที่ปรากฎอยู่บนแผ่นหินนี้ได้อย่างชัดเจน


               “นี่คือภาษาของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์” เขาอธิบาย “มันพูดว่า ใครก็ตามที่ติดตามข้านั้นจะเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง ส่วนใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับข้า จะต้องถูกกำจัด” นี่มันเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!


               คำเหล่านี้เป็นไปได้ว่ามาจากกษัตริย์ที่มีรูปแบบการปกครองชาวเมืองแบบกดขี่ อำนาจและตำแหน่งของกษัตริย์ชั่วผู้นี้น่าจะสูงมาก แต่แล้วอะไรกันล่ะ เขาและอาณาจักรของเขาในท้ายที่สุดก็ถูกทำลายโดยกองกำลังของเหล่าสัตว์อสูร ครั้งหนึ่งบุคคคลที่เคยมีพลังอำนาจอย่างมากนั้นท้ายที่สุดก็จบชิวิตลงเหลือเพียงแต่เถ้าธุลี และทำได้เพียงทิ้งรูปปั้นหัก ๆ ไว้เบื้องหลังเท่านั้น


               “เนี่ยลี่ เจ้าเข้าใจภาษาของของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?”เอียจื่ออวิ๋นถามโดยเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของเนี่ยลี่ มีคนเพียงจำนวนน้อยมากที่ถึงจะรู้ก็รู้ซึ่งเพียงเล็กน้อยเกี่ยวภาษาของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์


               “ข้าเข้าใจมันได้อย่างไรงั้นหรือ” เนี่ยลี่ยิ้ม เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขานั้นเรียนรู้ทั้งหมดเลยนั่นจากดินแดนแห่งพระเจ้า ทั้งภาษาและเทคนิคการผสานพลังมาจากที่แห่งนั้น


               “ถ้าเพียงแต่เจ้าไม่อยากบอก ก็ลืมมันไปซะ” เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


               เนี่ยลี่กระอักกระอ่วน มันไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่เต็มใจที่จะบอกนาง เพียงแต่ว่าถึงแม้เขาจะบอกนางไป เอียจื่ออวิ๋นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้


               เอียจื่ออวิ๋นเดินผ่านรูปปั้นนั้นไป ขณะที่นางเพียงต้องการเดินมาตรวจสอบดูรอบ ๆ ซากทั้งหลายเหล่านี้ ทันใดนั้นนางร้องอย่างสุดเสียง


               เมื่อเนี่ยลี่ตระหนักได้ว่าสถานที่เอียจื่ออวิ๋นยืนอยู่นั่นเริ่มสั่นไหวอย่างรวดเร็วอยู่ภายใน ใบหน้าเขาถอดสีและเขาเร่งเข้าไปหาเอียจื่ออวิ๋นโดยทันที อย่างไรก็ตามพื้นดินเหมือนยุบตัวลงมากขึ้น การยุบตัวนั้นมาพร้อมกับพลังดูดอันรุนแรงที่ดูดกลืนร่างของเขาทั้งสองลงไปข้างล่างด้วย เมื่อร่วงหล่นไปข้างใต้นั่นดูเหมือนว่าพวกเขาจะร่วงลงลึกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สิ้นสุด'ทำไมนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มีสถานที่แบบนี้อยู่ได้เล่า?' เนี่ยลี่ถามตัวเองเบา ๆ ขณะที่เขากอดเอียจื่ออวิ๋นแน่นนั้นเขาได้นำดาบของเขาออกมาและพยายามปักไปที่ขอบผาข้าง ๆ พวกเขา เมื่อเขาพยายามที่จะปักดาบเขาเข้าไปที่กำแพงหิน *แพล๊งค์* มันแตกหัก กำแพงหินอันนี้มันแข็งมากเกินไป


               'สถานที่แห่งนี้มันคือที่อะไรกัน?


               เขาได้มองลงที่ด้านล่างเพื่อมองหาก้นของหุบเหวนี้และตระหนักได้ว่าที่ข้างใต้ของพวกเขาลึกลงไปนั้นยังคงมืดสนิท


               ทันใดนั้นเอียจื่ออวิ๋นใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนี้ ที่ความเร็วในการร่วงของพวกเขานั้นลดลงชั่วครู่จากการพยายามปักดาบเข้ากับกำแพงของเนี่ยลี่ นางนำเชือกออกมาจากแหวนห้วงมิติอย่างรวดเร็ว แล้วโยนมันไปเกี่ยวกับบริเวณหนึ่งที่นูนออกมาจากหน้าผา *ผ้าง* ทั้งสองคนถูกดึงอยู่บนเชือกชนิดหนึ่งและสามารถหยุดการร่วงลงไปได้


               'ใยของอสูรแมงมุมวายุเหมันต์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้นั้นเหนียวเพียงใด!'เนี่ยลี่คิด เขารู้สึกโล่งอกพวกเขายังคงรู้สึกถึงพลังดูดจากข้างใต้นั่น พวกเขาสามารถหยุดมันลงได้


               “เนี่ยลี่ นี่คือที่ไหนกัน?” เอียจื่ออวิ๋นถามอย่างหวาดหวั่น ทั้งเนี่ยลี่และนางต่างแขวนค้างอยู่ในอากาศ อย่างไรก็ตามเนื่องจากหน้าผาที่เป็นกำแพงหินนั้นเรียบมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาเลยที่จะไม่สามารถไต่ขึ้นไปและพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดเบื้องล่างได้ด้วย


               “ข้าก็คิดมันไม่ออกเหมือนกัน” เนี่ยลี่ตอบด้วยความเห็นใจ เขายิ้ม เขานั้นไม่รู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ด้วยภายในนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์และก็ไม่เคยได้ยินเอียจื่ออวิ๋นพูดถึงสถานที่แห่งนี้เมื่อชาติที่แล้วของเขา พวกเขาได้เข้ามาอย่างบังเอิญสู่สถานที่ลับสุดยอดภายในนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้


               เมื่อเขาทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่พื้นดินจะเริ่มสั่นไหวนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจ กลุ่มคำที่เขาได้อ่านไปนั้น จะต้องเป็นกุญแจสำหรับเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้


               “พวกเราสามารถลงไปข้างล่างได้” เนี่ยลี่พูด ในเมื่ออีกทางเลือกที่พวกเขาจะไต่ขึ้นไปตามกำแพงหินนั้นไม่สามารถเป็นไปได้เนื่องจากมันลื่นมาก


               เนี่ยลี่เงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงจันทร์นี้เขาสามารถมองเห็นความเฉลียวฉลาดผ่านดวงตาของเอียจื่ออวิ๋น ขนตาที่กระดกไปมาเบา ๆ และผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดังหยกไร้ตำหนิของนาง ความงดงามจากภาพที่ได้เห็นนี้นั้นไม่สามารถจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ปากสีชมพูของนางนั้นเห็นเป็นชั้นคลื่นบาง ๆ ปรากฏอยู่ ณ ตอนนี้ พวกเขาทั้งสองนั้นอยู่ใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่น เนี่ยลี่รู้สึกได้ถึงคู่สัมผัสอันอ่อนนุ่มที่อยู่ด้านหน้าของทรวงอกเอียจื่ออวิ๋น และกลิ่นหอม ๆ ของเด็กสาวที่ออกมาจากตัวนาง


               เอียจื่ออวิ๋นนั้นก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความรักใคร่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาเช่นกันและทันใดนั้นแก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที

“อย่าขยับนะ ข้าจะไปก่อนเป็นคนแรก” เอียจื่ออวิ๋นพูดอย่างเร่งรีบ


        เมื่อได้เห็นท่าทีเข้มงวดของเอียจื่ออวิ๋นที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเมื่อชั่วครู่นี้ ช่วยไม่ได้ที่เนี่ยลี่จะหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในชาติที่แล้วของเขา เมื่อพวกเขาทั้งสองได้อยู่ร่วมกันนั้นและคิดถึงว่าความรู้สึกรักใคร่อันแสนอ่อนโยนที่เขาได้รับจากนางนั้นมันช่างทราบซึ้งและประทับอยู่ในใจของเขาเพียงไร


        เขาคว้าไปที่ข้อมือของเอียจื่ออวิ๋นอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจที่นางพูด แล้วยิ้มพร้อมกับพูดว่า “กอดข้าให้แน่น ๆ” พวกเราจะลงไปข้างล่างพร้อม ๆ กัน


        'เนี่ยลี่ชักจะทำมากเกินไปแล้ว' เอียจื่ออวิ๋นคิดในตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงแขนของเนี่ยลี่ในท่ากอดกำลังยกก้นของนางอยู่ นางชักจะโมโหมากอย่างไรก็ตามถ้านางเกิดขัดขืนในตอนนี้ พวกเขาทั้งคู่นั้นจะต้องร่วงหล่นลงไปอย่างแน่นอน


        'เนี่ยลี่ขี้โกงอย่างรายกาจ' ความรู้สึกโดนแกล้งฝังในหัวใจนาง และนางรู้ว่าไม่มีอะไรช่วยนางได้


        เมื่อได้เห็นหน้าตาโมโหของเอียจื่ออวิ๋น เขายิ้มน้อย ๆ ความรู้สึกอ่อนนุ่มที่แขนของเขาทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง และเขาอดไม่ได้ที่จะหยิกมันเบา ๆ   สะโพกของเอียจื่ออวิ๋นนั้นเริ่มโค้งมนได้รูป และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้มันจะเข้ารูปอย่างสมบูรณ์


        “เนี่ยลี่ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้าอย่างไม่อายอีก ข้าจะจัดการเจ้าด้วยทุกวิธีทาง แม้ว่าในที่สุดพวกเราก็จะหล่นลงไปด้วยกัน!” นางกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วและจ้องมาที่เนี่ยลี่ แม้กระทั่งผู้หญิงที่สง่างามเรียบร้อยแบบนางก็ไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้อีกต่อไป


        “ตกลง ตกลง ข้าจะไม่แตะตัวเจ้า อีกครั้ง!” เนี่ยลี่ยิ้ม และเริ่มระลึกไปถึงชาติที่แล้วของเขาไม่ว่าเอียจื่ออวิ๋นโกรธเมื่อใด นางนั้นจะมีอารมณ์เช่นนี้เสมอ เขาค่อย ๆ ปล่อยเชือกอย่างช้า ๆ และพวกเขาทั้งสองก็ได้เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง


        หลังจากนั้นประมาณ สิบ นาที ในที่สุดเท้าของเนี่ยลี่ก็สัมผัสถึงพื้นดิน เขารู้สึกเสียดาย เขาไม่มีทางเลือกต้องยอมปล่อยเอียจื่ออวิ๋นออกจากมือ


        นางกัดฟันเอาไว้โดยไม่พูดสิ่งใดออกมากและเริ่มสำรวจรอบสถานที่นี้ ตั้งแต่นางยังเด็กจนถึงบัดนี้นั้น นางไม่เคยถูกผู้ใดฉวยโอกาสจากนางเช่นนี้มาก่อน และสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ใบหน้าของเนี่ยลี่ตอนนี้ที่ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นและตั้งหน้าตั้งตามองไปรอบ ๆ ที่แห่งนี้ นางโกรธและโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนนางทนไม่ไหว นางเร่งตรงเข้าไปเหยียบที่เท้าของเนี้ยลี่


        “โอ้ย” เนี่ยลี่ร้อง เขายกเท้าขึ้นและกระโดดไปมา พร้อมสูดหายใจเอากลุ่มก้อนอากาศเย็นเหล่านี้เข้าไปเป็นเฮือก ๆ


        เมื่อได้เห็นการตอบสนองที่เหมือนจะมากเกินไปของเนี่ยลี่นั้น ช่วยไม่ได้เลยที่นางนั้นจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่


        “ถ้าเจ้ากล้าเล่นไม่ซื่อกับข้าอีก ระวังตัวไว้ให้ดี ข้าจะไม่ให้อภัยแก่เจ้า”


        ภาพขณะที่เอียจื่ออวิ๋นกำลังหัวเราะอยู่นั้นช่างงดงามและมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ มันทำให้เนี่ยลี่หยุดนิ่งและมองนางด้วยความหลงใหล


        เมื่อรู้สึกถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของเนี่ยลี่ เอียจื่ออวิ๋นหลบสายตาในทันทีทันใด แก้มของนางรู้สึกร้อนผ่าว และไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของนางถึงได้เต้นอย่างรุนแรงอยู่ภายใน


        “รีบหาทางออกกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่สามารถออกไปได้!” เอียจื่ออวิ๋นรีบพูดอย่างรวดเร็ว


        “ตกลง” เนี่ยลี่ตอบ พร้อมกับหยิบคบไฟออกมาจากแหวนห้วงมิติและยกมันขึ้น สาดส่องคบเพลิงไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มันปรากฏว่าพวกเขาได้หล่นลงมาที่พระราชวังใต้ดิน มันเหมือนกับเขาวงกตที่ลึกมาก มีเส้นทาง ห้า หรือ หกเส้นทางที่พวกเขาสามารถเลือกไปได้ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าแต่ละเส้นทางจะนำพาพวกเขาไปสู่ที่ใด


        'ข้าไม่รู้เลยว่าภายในของเขาวงกตนี้กว้างใหญ่เพียงใด' เนี่ยลี่คิด

เขาพบข้อความบรรทัดหนึ่งปรากฏที่กำแพงข้างตัวเขา


        “พระราชวังค์ของจักพรรดิคงหมิง” เนี่ยลี่พึมพำ และทันใดนั้นเขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก  "ที่แห่งนี้คือสุสานของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิคงหมิง"


     “จักรพรรดิคงหมิงรึ?” เอียจื่ออวิ๋นถามด้วยความสงสัย


        “ใช่” เนี่ยลี่พยักหน้าเบา ๆและเริ่มเล่าว่า “เขาเป็นจักรพรรดิที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาตร์ของอาณาจักรศักดิสิทธ์” ในฐานะของจักรพรรดิของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขาใช้เพียงชื่อของเขาแสดงถึงอำนาจที่เขามีอยู่ นั่นเป็นเรื่องที่แปลกมาก โดยเฉพาะที่จักรพรรดิองค์นี้ได้สละตำแหน่งและออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ระหว่างที่เขากำลังปกครองอยู่โดยได้ส่งมอบอาณาจักรให้บุตรชายดูแลแทน มีเรื่องเล่าว่าทักษะผสานพลังของเขาได้ก้าวขึ้นไปอยู่ที่ระดับที่สูงยิ่งจนน่าตกใจและกลายเป็นผู้มีอมตะ แม้กระทั่งลูกหลานของเขาก็ไม่สามารถหาสุสานของเขาพบ ข้าไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะถูกนำมาฝังไว้ ณ ที่แห่งนี้


        “สามารถมีคนที่ฝึกฝนวรยุทธจนก้าวผ่านไปสู่ความเป็นอมตะได้จริง ๆ หรือ ?”เอียจืออวิ้นถาม


        มองตรงไปยังเนี่ยลี่


        “ไม่หรอก นั่นเป็นเพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น แม้ผู้หนึ่งนั้นจะมีวรยุทธข้ามผ่านระดับตำนานไปแล้ว พวกเขาสามารถอยู่ได้เพียงสองถึงสามร้อยปีเท่านั้น พวกเขานั้นไม่สามารถหลบหนีซึ่งวัฎจักรของชิวิตได้หรอก!” เนี่ยลี่หัวเราะ


        ผู้ที่ก้าวข้ามผ่านระดับตำนานอย่างงั้นรึ? มันเป็นแบบไหนกัน ? เอียจื่ออวิ๋นถามในใจนางเต็มไปด้วยความสงสัย  ในความเข้าใจของนาง ระดับในตำนานนั้นเป็นระดับที่สูงที่สุดแล้วที่มีอยู่

    “เจ้าจะได้รู้เรื่องราวพวกนี้ภายหลัง” เนี่ยลี่ยิ้มโดยสายศีรษะของเขาและไม่เริ่มพูดต่อ


        เอียจื่ออวิ๋นรู้สึกสับสน เนี่ยลี่นั้นเคยพบผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับตำนานได้อย่างไร ? ทั้งที่เนี่ยลี่ก็เหมือนกับนาง เขานั้นไม่เคยออกจากเมื่อกลอรี่มาก่อน หรือเขาจะอ่านเจอมันในตำรา แม้นางจะยังคงสงสัยอยู่แต่นางก็ไม่ได้คิดไปไกลอีก


        “ที่นี่เป็นเขาวงกต ดังนั้นมันอาจจะมีหลุมพรางของกับดัก พวกเราต้องระวังตัวให้มาก เจ้าสามารถก้าวไปบนพื้นที่ซึ่งข้านั้นก้าวผ่านไปแล้วเท่านั้น!” เนี่ยลี่มองไปที่เอียจื่ออวิ๋นและพูด


        แม้ว่านางรู้สึกหดหู่เมื่อได้ยินเนี่ยลี่พูดด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งนางตลอดเวลา เขาทำเสียงโดยเหมือนกับเขาคิดว่าตัวเองนั้นแก่กว่านาง แต่นางก็ผงกหัวอย่างเชื่อฟังและตอบว่า “อืม!”


        แม้เนี่ยลี่ไม่ตระหนักถึงความจริงที่ว่าเอียจื่ออวิ๋นนั้นยังคงเด็กนัก แต่เขามีความคิดในรูปแบบที่อยากจะปกป้องนาง อย่างไรก็ตามน้ำเสียงที่เขาใช้ก็แตกต่างอย่างเลี่ยงไม่ได้กับชีวิตที่แล้วของเขาตอนเป็นคนรักกัน


        “มีเส้นทางให้เลือกห้าเส้นทางจากที่นี่ พวกเราจะเลือกไปทางไหนกัน ?” เอียจื่ออวิ๋นถาม ขณะกำลังมองตรงไปยังรอบ ๆ ทางเดินลึก

เบื้องหน้า


     

        “เป็นเรื่องง่ายมาก” พวกเราควรมุ่งไปยังทิศเหนือ เพราะด้วยโชคชะตาของจักรพรรดิ์คงหมิง สุสานของเขาจะตั้งอยู่ที่ซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ “


       

        “ทำไมกัน” เอียจื่ออวิ๋นถามด้วยความงุนงง “ทำไมสุสานของจักรพรรดิคงหมิงถึงจะต้องอยู่ตำแหน่งที่หันไปทางทิศใต้ด้วย”


        “เพราะว่ามันเขียนอยู่ไว้ในตำราตัวเลขวิทยาของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับโชคชะตาของคน ๆ นั้นจะมีบางสิ่งที่ให้คุณและให้โทษอยู่เสมอ นี่รวมถึงตำแหน่งในการจัดวางสุสานด้วยและผู้คนที่มาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนแต่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น!” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย


        'ตำราตัวเลขวิทยาของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์' ช่วยไม่ได้ที่เอียจื่ออวิ๋นจะพูดพึมพำไปมาถึงข้อความนี้ 'มีตำรากี่เล่มกันนะที่เนี่ยลี่อ่านมาแล้ว'

“ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทิศเหนืออยู่ทางไหนกัน! พวกเรากำลังอยู่ใต้พื้นดิน พวกเราจะรู้ถึงทิศทางได้อย่างไร?” เอียจื่ออวิ๋นถาม

เนี่ยลี่ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “การระบุทิศทางนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย”


         เทือกเขา บรรพชน นั้นตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ – ใต้ จากการมองที่ การเลื้อยของเถาวัลย์ไปตามก้อนหิน พวกเราก็จะสามารถระบุทิศทางได้  อ้า ต้องไปทางนี้ !”  หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็ได้เดินทอดน่องตรงไปยังเส้นทางหนึ่งที่เขาเลือก .......จบตอน....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น