วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทที่ 12 เวิ้งวิญญาณ

บทที่ 12 เวิ้งวิญญาณ



‘เนี่ยหลี’จัดการเรื่องราวไปในทางนี้ หากสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ยังวุ่นวายกับ’เนี่ยหลี’ นั่นมิได้หมายความว่าสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นกลุ่มก้อนของความชั่วร้ายหรืออย่างไร? ไม่ว่าจะเป็น’เสิ่นซิ่ว’หรือ’เสิ่นเยว่’ล้วนคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด
‘เหย่จื่อหวิน’มิอาจหักห้ามใจ นางหันไปมอง’เนี่ยหลี’อีกครั้ง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า’เนี่ยหลี’จะกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสามตระกูลหลักของนครอย่างเปิดเผย ในระยะไม่นานมานี้เอง ทุกการกระทำของ’เนี่ยหลี’ทำให้นางมิอาจมองข้ามการธำรงอยู่ของ’เนี่ยหลี’ได้ ความสงสัยผุดขึ้นกลางใจนาง ‘เนี่ยหลี’ผู้นี้เป็นบุรุษเยี่ยงไร?
ทางฝ่าย’เซียวหนิงเอ๋อร์’นั้น เมื่อได้ยินเด็กชายใช้คารมคมคายทิ่มแทงช่องโหว่ของสกุลเสิ่น นางเองก็อดยินดีไม่ได้ ทางบ้านของนางต้องการให้นางตบแต่งให้กับสกุลเสิ่นตลอดมา หากแต่ในใจของนางนั้นขัดแย้งกับคำสั่งอย่างยิ่ง นางมิได้นิยมชมชอบตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์แต่ต้น ฟังคำ’เนี่ยหลี’ข่มคนจากสกุลเสิ่นทั้งสองจนสิ้นวาจาจะถกเถียงได้อีก
นางเองอดหัวเราะคิกมิได้ ขณะเดียวกันในก้นบึ้งของจิตใจนางก็ยิ่งรู้สึกนิยมในตัว’เนี่ยหลี’มากขึ้น คนผู้หนึ่งต้องมีความรู้ลึกล้ำเพียงไหนจึงสามารถบอกที่มาของอาคมระเบิดเพลิงสีชาดได้ด้วยการกวาดตามองเพียงแวบเดียว? นั่นหมายความว่าขณะที่คนอื่นๆกำลังปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ ‘เนี่ยหลี’ผู้นี้ใช้เวลาคร่ำเคร่งอ่านตำราตลอดมา
ขณะเดียวกัน นอกห้องเรียน ‘ลู่เหย่’พุ่งตัวกลับมาหาผู้เฒ่าชุดเทาและรองเจ้าสำนักอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งคัมภีร์อสนีบาตแก่ผู้เฒ่าชุดเทา รองเจ้าสำนัก’เหย่เสิ้ง’พิจารณาสีหน้าของผู้เฒ่าชุดเทาเป็นระยะๆ ชายชราในชุดเทานั้นพลิกคัมภีร์ไปถึงหน้าที่สามสิบของบทที่เจ็ด แผนภูมิที่หก เมื่อเห็นอาคมบนกระดานกับอาคมอสนีบาตที่บันทึกไว้และนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ใบหน้าของมันก็กลายเป็นบิดเบี้ยว มันยืนเงียบงันไร้วาจา
‘เหย่เสิ้ง’ไม่บังอาจออกปาก นี่คือเรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ เกี่ยวพันกับชนชั้นปกครองของนครเรืองโรจน์ ‘เหย่เสิ้ง’ย่อมไม่บังอาจออกความเห็นใดๆ ผู้เฒ่าชุดเทานั้นมองคัมภีร์อสนีบาตซ้ำไปซ้ำมา เนื้อหาและรูปภาษาในหนังสือนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง แม้แต่มันยังเข้าใจไม่ถึงหนึ่งส่วน ‘เนี่ยหลี’ย่อมมีความรู้ลึกล้ำไพศาล นั่นยิ่งทำให้มันประหลาดใจยิ่งขึ้น มันยืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนเอ่ยปากถามว่า
“ศิษย์ผู้นี้มีพรสวรรค์เพียงใด?”
‘เหย่เสิ้ง’เหลือบมอง’ลู่เหย่’ สำหรับนักเรียนที่ไร้ชื่อเช่นนี้ รองเจ้าสำนักเช่นมันย่อมไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆ ‘ลู่เหย่’รีบตอบคำ
“ข้าเพิ่งได้ดูข้อมูลของศิษย์ผู้นี้ มันมีเพียงเวิ้งวิญญาณแดงขอรับ”
ชายชุดเทาผงกศีรษะ เอ่ยว่า
“ช่างเป็นเคราะห์กรรมนัก เด็กผู้นี้รู้หนังสือดีเยี่ยม หากกลับมีพรสวรรค์เพียงเท่านี้ หาไม่แล้วอนาคตของมันย่อมน่าจับตามองนัก เหย่เสิ้ง จัดสรรตำแหน่งบรรณารักษ์หอสมุดให้แก่มัน”
“ขอรับ”
‘เหย่เสิ้ง’พยักหน้ารับคำในทันที มันรู้ดีว่าผู้เฒ่าชุดเทาเบื้องหน้านี้นิยมผู้มีความรู้ความสามารถ แม้พรสวรรค์แต่กำเนิดของ’เนี่ยหลี’จะต่ำต้อย เด็กชายกลับทรงภูมิจนสามารถแม้แต่อ่านคัมภีร์อสนีบาต เมื่อเป็นบรรณารักษ์หอสมุด เด็กชายย่อมสามารถศึกษาค้นคว้าตำราเหล่านี้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
คนในนครเรืองโรจน์ล้วนแต่ยุ่งวุ่นวายกับการเพาะสร้างพลังส่วนตน เพียงน้อยคนนักที่ยินดีทุ่มเทเวลาศึกษาค้นคว้าหนังสือโบราณเช่นนี้ การจัดการเช่นนี้ยังเป็นไปเพื่อการปกป้องตัว’เนี่ยหลี’เอง ไม่ว่าดีร้ายเพียงใดงานของบรรณารักษ์นั้นอยู่ภายในเขตสถานศึกษา เช่นนี้สกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่สามารถกดดัน’เนี่ยหลี’ได้แม้แต่น้อย
หากแต่’เนี่ยหลี’นั้นเกรงการกดดันจากสกุลเสิ่นแน่หรือ? หากเป็นอดีตชาติ ‘เนี่ยหลี’คงซุกหัวหลบหางไปก่อนแล้วด้วยความกลัวเกรงอำนาจของสกุลเสิ่นถึงขีดสุด หากแต่ครานี้’เนี่ยหลี’จะไม่ยินยอมกล้ำกลืนดีขมอีก ความแค้นทั้งหลายล้วนบ่มไว้อย่างดีแล้ว และ’เนี่ยหลี’จะชดใช้คืนให้อย่างสาสม! ‘เสิ่นซิ่ว’มอง’เนี่ยหลี’ด้วยความชิงชังถึงขีดสุด กล่าวเสียงเย็นว่า
“เรื่องวันนี้ ข้าจะจดจำไว้อย่างดี”
‘เสิ่นซิ่ว’เป็นบุคคลที่งำความแค้นไว้กับตัวเสมอ ในฐานะครูของ’เนี่ยหลี’ นางมีร้อยพันวิธีที่จะจัดการกับมัน เหอะเหอะ ‘เนี่ยหลี’แค่นหัวร่ออย่างไม่ใส่ใจ หญิงไร้ยางอายนางนี้กลับกล้าใช้ฐานะอาจารย์ข่มขู่ศิษย์ ต่อไปนี้ต่อให้สกุลเสิ่นไม่รังควาญ’เนี่ยหลี’ มันก็จะตามรังควาญตระกูลเสิ่นถึงที่สุด
นี่เป็นเพียงแค่บทโหมโรงเท่านั้น ‘เนี่ยหลี’ยังมีแผนการอีกมากรอให้สกุลเสิ่นมาติดกับ หากแต่เด็กชายยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวเร็วเกินไปนัก ด้วยมันยังมีพลังไม่เพียงพอจะต่อกรกับสกุลเสิ่น ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็เป็นตระกูลหลักของนคร ‘เนี่ยหลี’ย่อมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ามันต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วที่สุด
หลังเหตุการณ์จบลง ‘เสิ่นซิ่ว’ไม่มีกะจิตกะใจจะสอนอีก นางเร่งรัดบทเรียนให้จบลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนกลายเป็นประหนึ่งไฟลามทุ่ง นักเรียนทั้งหลายบอกต่อกันเป็นทอดๆ ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตัวสูงส่งในยามสามัญ
ครั้งนี้ไม่ว่าจะพยายามปกปิดอย่างไร การกระทำเช่นนี้ก็ละเมิดครรลองของผู้ใช้ภูติอย่างร้ายแรงและเป็นที่หยามเหยียดของผู้ใช้ภูติด้วยกัน ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ได้แต่เห็นว่า’เนี่ยหลี’นั้นเป็นหอกข้างแคร่ที่มิอาจถอน กลับเป็นว่าหาก’เนี่ยหลี’เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเองที่ต้องแบกหม้อก้นดำ การกระทำได้ไม่คุ้มเสียเช่นนี้สกุลเสิ่นย่อมไม่ยินดีกระทำอย่างยิ่ง การปกปิดความผิดจากผู้คนนั้นย่อมมิอาจเป็นไปได้
หลังเหตุการณ์นี้ ชื่อเสียงของตระกูลย่อมได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ฟังว่าประมุขตระกูลเสิ่นนั้นพยายามขอเข้าพบบิดาของ’เหย่จื่อหวิน’ผู้เป็นจ้าวนคร แต่ได้รับการปฏิเสธกลับมา สำหรับ’เนี่ยหลี’แล้วนี่นับเป็นเรื่องน่ายินดีประการหนึ่ง  แม้เด็กชายยังคิดไม่ออกว่าจะใกล้ชิด’เหย่จื่อหวิน’ได้อย่างไร แต่หากทำลายพันธะหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือ?
หลังเหตุการณ์ในวันนี้ ภาพลักษณ์ของ’เสิ่นเยว่’ในสายตาของ’เหย่จื่อหยุน’ด้อยลงเล็กน้อย ณ ห้องทำงานของรองเจ้าสำนัก เสียงแหลมของ’เสิ่นซิ่ว’ดังขึ้น
“รองเจ้าสำนักเหย่เสิ้ง ศิษย์ชั้นเรียนนักรบฝึกหัดแซ่เนี่ยหามีความเคารพต่อผู้มีอาวุโสกว่าแม้แต่น้อย ศิษย์แซ่เนี่ยผู้นี้โต้เถียงและแสดงความเห็นขัดแย้งกับอาจารย์ในชั้นเรียนจนยากจะควบคุม ข้าร้องขอให้รองเจ้าสำนักพิจารณาขับเด็กคนนี้ออกจากสำนัก!”
‘เสิ่นซิ่ว’พูดด้วยความกราดเกรี้ยว
แม้ไม่มีคำสั่งของผู้เฒ่าท่านนั้น ด้วยภูมิปัญญาลึกล้ำของ’เนี่ยหลี’ แม้ไม่อาจก้าวขึ้นเป็นผู้ใช้ภูติที่ทรงพลังในอนาคต มันยังสามารถช่วงชิงความสำคัญเป็นที่ปรึกษาข้างกายของผู้ใช้ภูติที่ทรงพลังได้ ‘เหย่เสิ้ง’จะไล่ศิษย์มีอนาคตเช่นนี้ออกได้อย่างไร ‘เนี่ยหลี’เองยังได้รับความชื่นชมจากผู้เฒ่าชุดเทาอีกด้วย หากทาง’เสิ่นซิ่ว’เองก็เป็นคนของสกุลเสิ่น ‘เหย่เสิ้ง’จำต้องไว้หน้านางเช่นกัน เห็นดังนั้น’เหย่เซิง’ก็ยิ้มให้นาง กล่าวว่า
“ข้าจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง การขับศิษย์ออกจากสถานศึกษาถือเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างยิ่ง”
“รองเจ้าสำนักเหย่ ยังต้องใคร่ครวญอันใดอีกหรือ ข้าขอให้ขับเด็กคนนั้นออกในทันที หาไม่ข้าจะไม่สอนนักเรียนในชั้นเรียนนั้นเด็ดขาด!!”
‘เสิ่นซิ่ว’กล่าวด้วยความโกรธเคือง
ดวงตาของ’เหย่เสิ้ง’ทอประกายวาบ หญิงจากสกุลเสิ่นนางนี้หารู้ไม่ว่าเวลาใดควรหยุด มันกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“เช่นนั้นข้าจะโยกย้ายท่านไปชั้นเรียนอื่น ดีหรือไม่?”
‘เสิ่นซิ่ว’ตกตะลึง นางคิดว่า’เหย่เสิ้ง’จะไว้หน้านางผู้มาจากตระกูลหลัก แต่ในวาจาของ’เหย่เสิ้ง’ นางกลับตีความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้ ‘เหย่เสิ้ง’ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะปกป้องเด็กแซ่เนี่ย หากนางถูกโยกย้ายขึ้นมา นางย่อมไม่มีโอกาสสร้างความเดือดร้อนแก่มันอีก ‘เสิ่นซิ่ว’สาปแช่ง’เหย่เสิ้ง’ในใจ กล้ำกลืนความโกรธแค้นทั้งหลายกล่าวว่า
“ไม่จำเป็นแล้ว ลืมเลือนเรื่องเช่นนี้ไปเสีย อีกสองเดือนจะมีการทดสอบนักรบฝึกหัด หากเด็กคนนั้นได้ตำแหน่งรั้งท้ายสามอันดับ รองเจ้าสำนักเหย่คงไม่มีข้อโต้แย้งอีกใช่หรือไม่ ตามกฏของสถานศึกษาแล้ว ผู้รั้งท้ายสามอันดับต้องถูกขับออกจากสถานศึกษา!”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
‘เหย่เสิ้ง’หัวเราะ
‘เสิ่นซิ่ว’กัดฟันกรอด หมุนตัวเดินออกไปทางประตู เมื่อเห็นว่านางออกไปแล้ว แววตาของ’เหย่เสิ้ง’ก็ทอประกายเย็นเยียบ ‘เสิ่นซิ่ว’พึ่งพาศักดิ์ฐานะของสมาชิกตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์เพื่อกระทำการเหิมเกริมและไม่เห็นหน้าผู้ใด ‘เหย่เสิ้ง’คิดอีกครั้ง แม้ผลลัพธ์การทดสอบของ’เนี่ยหลี’จะอ่อนด้อย แต่ด้วยภูมิปัญญาลึกล้ำของเด็กชาย มันไม่มีทางรั้งท้ายแน่นอน แม้จะรั้งท้ายสามอันดับเช่นนั้นจริง ผู้เฒ่าผู้นั้นคงต้องยื่นมือออกว่าจ้าง’เนี่ยหลี’อยู่เช่นนั้นเอง
ขณะเดียวกัน ที่หอสมุดชั้นสาม ที่นี่มีห้องเล็กๆมากมายซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้เป็นห้องอ่านหนังสือของนักเรียน ขณะนี้กลับถูกยัดครองโดยกลุ่มของ’เนี่ยหลี’ เนื่องจาก’เนี่ยหลี’ถูกว่าจ้างให้เป็นบรรณารักษ์ของหอสมุด หน้าที่ของบรรณารักษ์ไม่ได้มีหน้าที่กำหนดชัดเจนทั้งยังได้เงินบำรุงสามร้อยเหรียญต่อเดือน มีผู้ใดปฏิเสธงานง่ายๆเช่นนี้กัน
การที่สถานศึกษา’เสิ้งหลัน’ว่าจ้าง’เนี่ยหลี’เป็นเรื่องประหลาดยิ่ง แต่เมื่อเด็กชายใคร่ครวญถี่ถ้วน มันก็เข้าใจ เป็นระดับสูงของสถานศึกษาเสิ้งหลันเองพยายามปกป้อง’เนี่ยหลี’จากการกดดันของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้ตำแหน่งบรรณารักษ์จะไม่ใหญ่โต แต่ก็นับเป็นคนของสถานศึกษา แม้แต่สกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ยังต้องหยุดคิดหากจะจู่โจมคนในคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้ ‘เนี่ยหลี’จึงรู้สึกขอบคุณสถานศึกษาแห่งนี้ยิ่ง รองเจ้าสำนัก’เหย่เซิง’ย่อมไม่ล่วงรู้ว่า ด้วยคำสั่งของผู้เฒ่าชุดเทาให้ว่าจ้าง’เนี่ยหลี’ สถานศึกษาจะได้รับประโยชน์มหาศาลในอนาคตอันใกล้นี้
“เนี่ยหลี งัดข้อกับสกุลเสิ่นเช่นนี้จะไม่มีปัญหาในภายหลังหรือ?”
‘ตู้เจ๋อ’พูดหลังเงียบไปชั่วครู่ มันเป็นบุคคลที่ระแวดระวังนัก
“ผู้ใดสนใจว่าดีหรือไม่ หากกระทำแล้วรู้สึกดีก็นับว่าทำได้ดีแล้ว”
‘ลู่เปียว’เผยอยิ้ม
เห็นใบหน้าของ’เสิ่นซิ่ว’บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ‘ลู่เปียว’รู้สึกดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรมันก็เกลียดชังหญิงนางนี้เหลือเกิน  ‘เนี่ยหลี’หันมอง’ตู้เจ๋อ’ พยักหน้ากล่าวว่า
“ข้ารู้! หลายวันมานี้เราไม่ปรากฏตัวในชั้นเรียนอีก เสิ่นซิ่วคงกระวนกระวายน่าดูชม”
เห็น’เนี่ยหลี’กล่าวเช่นนี้ ‘ตู้เจ๋อ’ก็ไม่พูดอะไรอีก
นอกจาก’เนี่ยหลี’ ‘ตู้เจ๋อ’ และ’ลู่เปียว’แล้ว ในห้องยังมีนักเรียนสามัญชนอีกสามคน ทั้งสามคือกลุ่มคนที่เคยยืนหลังห้องเรียนเคียงข้างพวก’เนี่ยหลี’ทั้งสามมาก่อน พรสวรรค์พวกมันนั้นต้องต่ำ มีเพียงเวิ้งวิญญาณชาดเท่านั้น ทั้งสามมีนามว่า ‘เว่ยหนาน’ ‘จูเสียงจวิ้น’ และ’จางหมิง’ ‘เนี่ยหลี’เชื่อในตัวพวกเขาอย่างยิ่ง ชาติก่อนทั้งสามเป็นลิ่วล้อสายตรงของ’ตู้เจ๋อ’
ความสัมพันธ์ของพวกมันกับ’เนี่ยหลี’ถือว่าไม่ดีนักแต่พวกมันภักดีต่อ’ตู้เจ๋อ’อย่างยิ่ง ในการศึกสุดท้ายก่อนนครเรืองโรจน์ล่มสลาย เป็นพวกมันที่ปกป้องนครจวบจนลมหายใจสุดท้าย พวกมันสละชีพพร้อมพี่น้องร่วมสาบานของพวกมัน ‘ตู้เจ๋อ’ในชาตินี้ กลุ่มนี้มี’เนี่ยหลี’เป็นผู้นำ
“ข้าใช้เงินหกพันเหรียญซื้อหินวิญญาณชั้นต้นมาหกชิ้น ข้าจะทดสอบความสามารถของพวกเจ้า”
‘เนี่ยหลี’กล่าวขณะมองหน้าทุกคน
“ทดสอบความสามารถ? เราได้รับการทดสอบเช่นนี้แล้วตั้งแต่แรกเข้าสถานศึกษามิใช่หรือ?”
‘ตู้เจ๋อ’ถามอย่างสงสัย
‘เนี่ยหลี’ยิ้มอย่างลี้ลับ กล่าวว่า
“วิธีของข้าแตกต่างกับพวกเหล่านั้น”
ทุกคนในห้องต่างสงสัย นับแต่ก่อตั้งนคร ทั้งหมดใช้วิธีทดสอบเช่นนี้มาตลอด พลังวิญญาณของพวกมันถูกตัดสินแล้ว ‘เนี่ยหลี’ยังจะทดสอบเพื่ออันใดอีก? หินวิญญาณชั้นต้นราคาก้อนละหนึ่งพันเหรียญ ‘เนี่ยหลี’กลับซื้อมาทั้งหมดหกก้อน แต่แม้พวกมันจะสงสัยต่อการกระทำของ’เนี่ยหลี’ แต่ภูมิปัญญาของ’เนี่ยหลี’ฉายออกในเหตุการณ์ก่อนหน้า พวกมันย่อมฟังคำของ’เนี่ยหลี’โดยไม่โต้แย้ง
“ปกติแล้ว หินวิญญาณที่ไม่เคยใช้นั้นจะมีความไวสูงสุด หากใช้ทดสอบเวิ้งวิญญาณของผู้คนจะมีความแม่นยำอย่างยิ่ง แต่เมื่อใช้ร่วมกัน หินวิญญาณจะถูกรบกวนและทำได้เพียงวัดสีและความแข็งแกร่งของเวิ้งวิญญาณ”
‘เนี่ยหลีก’ล่าวกลั้วหัวเราะ
“เช่นนั้นนอนจากสีและความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว เรายังทดสอบอันใดได้อีก?”
‘ลู่เปียว’ถามด้วยความสงสัย
“ธาตุและรูปลักษณ์ของเวิ้งวิญญาณ!”
‘เนี่ยหลี’ตอบด้วยรอยยิ้ม
‘ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’และพวกหันไปมองหน้ากัน สิ่งที่’เนี่ยหลี’กล่าวดูลึกล้ำยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น