วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทที่ 25 ตระกูลปีกมังกร

บทที่ 25 ตระกูลปีกมังกร


ขณะคณะสำรวจกำลังเดินทางไประหว่างถนนแห่งหนึ่ง ซึ่งมี ‘เย่จื้ออวิ๋น’และ’เนี่ยหลี่’อยู่ข้างหลังของกลุ่ม
“เจ้ารู้จักกับเฉินหลินเจียงตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
‘เย่จื้อหวิ๋น’ถามพร้อมชะเลืองมองไปยัง’เนี่ยหลี่’
“ข้าไม่ได้รู้จักเขาเท่าไหร่หรอก เราเคยคุยกันครั้งเดียวที่ห้องสมุด”
‘เนี่ยหลี่’พูดพรางยักไหล่
“เอ๋..แล้วเขาให้เจ้าเข้าร่วมทีมครั้งนี้เลยรึ?”
‘เย่จื้อหวิ๋น’รู้สึกประหลาดใจ ‘เฉินหลินเจียน’กับเธอนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันมากมายนัก ‘เฉินหลินเจียน’นั้นเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองและค่อนข้างลึกลับอยู่ทีเดียว แน่นอน เขาก็ไม่ใช่คนน่ารำคาญสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้น’เย่จื้อหวิ๋น’ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเท่าไหร่
‘เนี่ยหลี่’ช่างมีแต่ความลับซะจริง แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่า’เนี่ยหลี่’ใช้วิธีอะไรในการโน้มน้าว’เฉินหลินจิน’ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่า’เนี่ยหลี่’นั้นมีไหวพริบที่สูงจึงคงไม่เป็นเรื่องยากสำหรับเขาแน่นอน
เมื่อเห็น’เนี่ยหลี่’และ’เย่จื้อหวิ๋น’คุยกันอย่างสนุกสาน มันทำให้’เสิ่นเหย่’นั้นรู้สึกหึงหวงอย่างที่สุดในมุมมองของเขานั้น ‘เย่จื้อหวิ๋น’ควรที่จะคุยอย่างสนุกสนานกับเขาเท่านั้นแต่ทำใมถึงเป็นเจ้าเนี่ยไปได้
‘เนี่ยหลี่’เจ้าต้องตายแน่ การแสดงออกของ’เสิ่นเหย่’นั้นช่างเหี้ยมเกรียมซะจริง หลังจากเขาไปในป่าแล้วเจ้าคงจะไม่สามารถกลับมายังเมืองกลอลี่แห่งนี้ได้อีกแล้ว แต่เรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นความลับไม่ให้ใครรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เย่จื้ออวิ๋น’. ‘เสิ่นเหย่’กำลังครุ่นคิดอย่างนักเพื่อกำจัดหนามหัวใจอย่าง’เนี่ยหลี่’
กลุ่มของคณะสำรวจนั้นได้ออกจากเมืองกลอรี่.และกำลังเดินทางไปยังเส้นทางที่ขรุขระบนแนวเขาบรรพบุรุษ
การเดินทางไปยังสถานที่ซากปรักหักพังโบราณเมืองกล้วยไม้นั้นต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 วัน ในการเดินทาง ซึ่งเป็นไปได้เหมือนกันว่าพวกเขาอาจจะโดนสัตว์ปิศาจโจมตีขณะตั้งแคมป์ในป่าอยู่เหมือนกัน
แต่’เนี่ยหลี่’นั้นมีสัญชาติญาณที่เร็วต่ออันตรายด้วยประสบการณ์ที่มีมาก่อนจากชาติที่แล้วของเขา แม้ตอนนี้เขาจะยังไปไม่ถึงระดับทองแดงหนึ่งดาวก็ตาม แต่ระดับของสัตว์ปิศาจทั่วไปนั้นไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับเขาได้ ถึงแม้เส้นทางที่พวกเขาเลือกจะเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัยก็ตาม
ความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้ทั้ง 37 คนนั้น ค่อนข้างสูงอยู่ที่เดียว ซึ่งมี 6 คนที่เป็นถึงระดับเงิน 6 ดาว และส่วนที่เหลือส่วนใหญ่นั้นจะสูงกว่าระดับทองแดง 3 ดาว
ขณะที่’เย่จื้ออวิ๋น’นั้นมีระดับ 1 ดาวทองแดง ซึ่งในกลุ่มนี้นั้นในกลุ่มจะมี’เสิ่นเหย่’และ’เนี่ยหลี่’เท่านั้นที่มีระดับพลังน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตามเรื่องที่’เย่จื้อหวิ๋น’ถึงระดับ 1 ดาวทองแดงแล้วนั้นไม่ได้เปิดเผยให้คนอื่นรู้.ทำให้ยังไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเธอถึง 1 ดาวทองแดงแล้ว
หลังจากเดินทางมานากว่า 10 ชัวโมงผ่านถนนตามแนวเทือกเขาอันขรุขระ ใกล้จะเข้าสู่ช่วงเย็นก็มาถึงลานกวางที่เนินเขา ‘เฉินหลินเจียน’ ได้สำรวจสภาพแวดล้อมที่มีต้นไม้รอบรอบสูงต่ำเหมาะสำหรับตั้งแคมป์และได้กล่าวว่า
“วันนี้เราจะตั้งแคมป์กันบริเวณนี้ล่ะ”
‘เส่นเหย่’ เดินไปใกล้’เย่จื้อหวิ๋น’แล้วพูดว่า
“จื้อหวิ๋น เราตั้งแคมป์ใกล้ๆกันดีใหม,ข้าจะได้สามารถปกป้องเจ้าได้.”
“ไม่จำเป็น”
‘เย่จื้อหวิ๋น’ พูดด้วยสีหน้าเย็นชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ เธอไม่ต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับ’เสิ่นเหย่’ เนื่องจากเรื่องราวและเหตการณ์ที่ผ่านมานั้นภาพของ’เสิ่นเหย่’ค่อนข้างติดลบเลยทีเดียว
‘เย่จื้อหวิ๋น’ เลือกพื้นที่ตั้งแคมป์รวมกับสาวๆหลายคน แม้ว่า’เนี่ยหลี่’อยากที่จะตั้งค่ายใกล้ๆกับงเย่จื้อหวิ๋นงอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากใดๆกลัวที่จะมีเหตการณ์ที่เหมือนกับ ‘เสิ่นเหย่’,’เนี่ยหลี่’นั้นจึงได้เรียกพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลและตั้งค่ายอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
ท่ามกลางคืนที่เงียบสงบนั้นได้ยินเสียงของแมลงจำนวนมากจากป่า และความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในหัวของ’เนี่ยหลี่’,เขาคิดย้อนกลับไปในอดีต เค้าสงสัยว่าตอนนี้ครอบครับของเขากำลังทำอะไรอยู่นะ แม้ว่าเขาจะอยากจะกลับไปเยี่ยมเยือนพ่อกับแม่ของเขาอยู่เหมือนกัน แต่เขาจำเป็นที่ต้องทน
สถาบันศึกษากล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นโรงเรียนประจำ เขานั้นไม่ได้อยู่ในครอบครัวหลักและชนชั้นสูงจึงอยู่ห่างไกล หากนักเรียนที่แอบหนี่กลับบ้านก่อนปิดเทอมนั้นถูกครอบครัวเขาถูกลงโทษ นอกจากนี้หากสถาบันศึกษารู้เข้าที่พวกเขาหนีออกไป ทางสถาบันการศึกษาจะลงโทษอย่างหนักเช่นกัน
แต่หลังจากเข้ารับการทดสอบในสองเดือนข้างหน้าจะมีเวลา 1 เดือน ที่พวกเขาจะได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวพวกเขา หลังจากที่เมืองจะถูกทำลายนั้น ครอบครัวของ’เนี่ยหลี่’นั้นไม่ได้มีฐานะที่ดีสักเท่าไหร่ พวกเขาหากินไปวันๆเท่านั้น
หลังจากคิดถึงฉากการถูกทำลายของเมืองกลอรี่แล้ว ‘เนี่ยหลี่’กำหมัดของเขาแน่น ในช่วงเวลาไม่กี่ปีถัดจากนั้นเมืองกลอรี่ถูกฝูงสัตว์ปิศาจบุกเข้าทำลายอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้อย่างน้อยต้องไปถึงระดับทองคำดำหรือระดับตำนานเท่านั้นไม่งั้นจะไม่สามารถช่วยเมืองกลอรี่ที่กำลังจะเข้าสู่สภาวะวิกฤตได้
ดังนั้น เวลาจึงมีไม่มากและเขาต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเขา โดยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองไปทีละขั้นทีล่ะตอน
เรื่องต่อไปที่เขาต้องทำต่อไปจากนี้คือการได้รับ โคมไฟที่มีจิตปิศาจ เพราะโคมไฟนั้นมีจิตวิญญาณปิศาจที่จะมีความจำเป็นต่อเขาในการฝึกฝนในอนาคตนั่นเอง
‘เนี่ยหลี่’นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่เพื่อฝึกบำเพ็รพลังวิญญาณของเขา เขตแดนวิญญาณของเขาตอนนี้เหมือนมีบางสิ่งที่กำลังซ่อนอยู่ ซึ่งทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นแก่’เนี่ยหลี่’อย่างยิ่ง ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน และในตอนนี้นั้นเขาก็ยังไม่สามารถที่จะสำรวจความลึกของเขตแดนของตัวเองได้
เขตแดนวิญญาณญาณนั้นไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ด้วยการเสริมความเข้มของเขตแดนวิญญาณเขตแดนวิญญาณของ’เนี่ยหลี่’นั้นเริ่มที่จะมีแสงสีฟ้าจางๆ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรู้ทรงกลมขึ้น
ด้วยการเพาะปลูกพลังในด้านลึกด้วยนั้น การเสริมความแข็งแกร่งของเขตแดนวิญญาณ เขตแดนวิญญาณเริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่าง และด้วยเทคนิคการบ่มเพาะด้วยเทคนิคเทพวิถีฟ้าแล้วจำเป็นต้องเพิ่มทีล่ะส่วนอย่างช้าๆ
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่เงียบสงบเหลือเกิน
กลับมาที่เมืองกลอรี่ ตระกูลปีกมังกร
ขณะนี้นั้น ‘เสียงหนิงเอ๋อ’ ได้จ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างๆเงียบๆ ในตอนเที่ยงของวันนี้นั้นเธอได้รับจดหมายจาก’เนี่ยหลี่’บอกว่าเขาต้องจากไปที่แห่งหนึ่งซักพัก เขาได้บอกให้เธอพักผ่อนให้มาก และยังมีใบสั่งยามาให้เธอด้วย หลังจากที่ได้รับการนวดครั้งที่สองโดย’เนี่ยหลี่’ และการฝึกบ่มเพาะพลังด้วยเทคนิค มังกรเหินวายุอสนี การเจ็บป่วยของเธอก็เริ่มที่จะดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้นคงจะไม่มีปัญหาอะไรในช่วงเพลานี้แล้ว
และต่อมานั้น’เสียวหนิงเอ๋อ’ก็ได้รู้ว่า’เนี่ยหลี่’นั้นได้เข้าคณะสำรวจกับกลุ่มของ’เฉินหลินเจียน’ และในกลุ่มก็มี’เย่จื้ออวิ๋น’ด้วย ทำให้’เสียงหนึ่งเอ๋อ’รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง.ทำใม’เนี่ยหลี่’ไม่ได้นำเธอไปด้วยนั่นเอง.
“คุณหนูนายท่านให้มาเชิญไปยังห้องโถงใหญ่ เจ้าค่ะ”
สาวใช้เข้ามาแจ้งเธอโดยพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’ ขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เธอลุกขึ้นยืนและเดินไปยังห้องโถงประชุมใหญ่ของตระกูล
ณ ห้องโถงตระกูล ปีกมังกร
ผู้นำตระกูลปีกมังกร.’เสียว หยุน เฟย’ ขณะนี้นั่งอยู่ที่ด้านหน้าของห้องโถง โดยมีท่านผู้เฒ่า ของตระกูล 6 คนขนาบข้างอยู่ ซึ่งเขาหล่านี้นั้นล้วนเป็นลูกพี่ลูกน้องและเป็นผู้อาวุโสในตระกูลปีกมังกรนั่นเอง
“ที่พวกเราเรียกเจ้ามาวันนี้นั้น พวกเรามีบางอย่างที่อยากสอบถาม”
ใบหน้าของ ‘เสียวหยุนเฟย’นั้นดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก ‘เสียวหนิงเอ๋อ’ จึงพอคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้คงจะมีส่วนเกี่ยวกับท่านลุงๆของเธอนั่นเอง ตั้งแต่พ่อของเธอมาเป็นหัวหน้าตระกูล,ดูเหมือนจะมีผู้อาวุโสสามคนจะไม่ค่อยยินดีเท่าใดนัก
‘เสี่ยวยี่’ ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดพร้อมหัวเราะเบาๆว่า
” หลาน หนิงเอ๋อ ได้ยินมาว่าเจ้าได้ใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหญ้าหมอกม่วง ตอนนี้ราคาหญ้าหมอกม่วงนั้นได้มีราคาพุ่งขึ้นสูงเป็นอย่างมากหลายร้อยเท่าเลยทีเดียว หญ้าหมอกม่วงที่ซื้อมานั้นคงมีจำนวนมากเป็นงินหลายพันล้านเหรียญจิตรมารเป็นแน่ เมื่อรวมกับเงินที่เรามีอยู่ ตระกูลของเราคงจะกลับมายิ่งใหญ่ไม่ยากเป็นแน่ หนิงเอ๋อ ผลงานของเจ้าในครั้งนี้นับว่าใหญ่หลวงนักสำหรับตระกุลของเรา ดูเหมือนดาวดาราจะช่วยหนุนตะกูลปีกมังกรของเราแล้ว”
ได้ยินคำพูดของ ‘เสียวยี่’ ‘เสียวหนิงเอ๋อ’ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ‘เสียวยี่’นั้นได้ยินมาจากที่ใหนอย่างนั้นรึที่เธอได้ทำการซื้อหญ้าหมอกม่วงมาจำนวนมากนั้น แล้วใช้เรื่องนี้ในการกดดันพ่อของเธอเพื่อที่จะมีส่วนร่วมเป็นส่วนร่วมในหญ้าหมอกม่วงนี้
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ‘เสียงหนิงเอ๋อ’ไม่มีความสุขในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ไม่ว่าการซื้อหญ้าหมอกม่วงมาในจำนวนเท่าใด.เรื่องนี้นั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเลย มันเป็นการซื้อด้วยเงินส่วนตัวของเธอ ดังนั้นการจัดการกับหญ้าหมอกม่วงเป็นเช่นไรจึงไม่ควรที่จะเกี่ยวข้องกับตระกูล
แต่’เสียวยี่’นั้น ไม่ยอมแพ้ พยายามอธิบายทุกวิธีทางเพื่อที่จะมีส่วนร่วมให้ได้
‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’ ยืนอย่างภาคภูมิใจและแสดงออกให้ทุกคนรับรู้พร้อมทั้งกล่าวว่า
” ท่านลูงเสี่ยวยี่ เงินที่ใช้ในการซื้อนั้นเป็นเงินส่วนตัวของข้าเอง มันต้องเป็นสมบัติของตระกูลอย่างนั้นรึ? ถ้ายังงั้นสมุนไพร และอาวุธที่ซื้อโดยท่่านลุง ก็ต้องส่งมาให้กับตระกูลด้วยใช้หรือไม่?”
“เจ้า..”
‘เสี่ยวยี่’ ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า คนอ่อนโยนอย่าง’เสียวหนิงเอ๋อ’จะกล้าที่จะยอกย้อนเขาเช่นนี้
ปรกติ’เสียวหนิงเอ๋อ’นั้นจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมากในตระกูล แต่หลังจากที่เธอได้พบกับ’เนี่ยหลี่’แล้วเธอได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเข้าใจอย่างหนึ่งดีเลยว่า หากพอสิ่งใดที่ไม่เป็นธรรมจำเป็นที่จะต้องลูกขึ้นสู้
หลังจากได้ยินคำพูดของ’เสี่ยวหนิงเอ่อ’ ‘เสี่ยวหยุนเฟย’ค่อนข้างรู้สึกดีเลยทีเดียว จากนั้นเขาได้มองมาทาง’เสี่ยวยี่’และกล่าวว่า
“อาวูโส เสี่ยวยี่ สิ่งที่หนิงเอ๋อพูดมามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ข้าคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลเลย”
แต่’เสี่ยวยี่’ยังไม่ยอมและกล่าวต่ออีกว่า
“เรื่องนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เมื่อเทียบกับหญ้าหมอกม่วงที่มีมูลค่าหลายร้อยหรือพันล้านเหรียญจิตรมาร มันมากพอที่จะช่วยตระกูลของเราที่วิกฤตอยู่ และเพื่อที่จะไม่ถูกครอบครัวเทพศักดิ์สิทธิ์คุกคามอีก”
‘เสี่ยวยี่’มองไปที่’เสี่ยวหยุนเฟย’เพื่อที่จะโน้มน้าว ‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’
“ถ้าหลาน หนิงเอ๋อ ยอมที่จะมอบหญ้าหมอกม่วงให้กับตระกูลของเราแล้ว หลานสาวก็ไม่จำเป็นที่จะแต่งงานกับเสิ่นเฟย อีกต่อไปก็ได้”
ความจริงนั้น ‘เสียวยึ่’ไม่ได้คิดวิธีนี้มาก่อน เธอไม่คิดว่า’เสียวหนิงเอ๋อ’ จะไม่ยอมมอบหญ้าหมอกม่วงให้กับพวกเขา และสำหรับการแต่งงานของ’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’กับ’เสิ่นเฟย’ นั้น พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจ แต่ขึ้นอยู่กับตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
นอกจากนี้ผู้อาวุโสอีก 5 คน ยังเห็นด้วยกับข้อเสนอของ’เสี่ยวยี่’ หากหญ้าหมอกม่วงนนั้นอยู่ในมือของ’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’แล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร แต่หากเป็นของตระกูลแล้วพวกเขายังสามารถที่จะได้รับประโยชน์ได้นั่นเอง แม้แต่ผู้อาวุโสสองคนที่มักจะเห็นด้วยกับ ‘เสี่ยวหยุนเฟย’ ยังมีความคิดเดียวกับ’เสี่ยวยี่’เลย
เห็นสถานการณ์เช่นนี้,’เสี่ยวหยุนเฟย’ รู้สึกผิดและเหลือบมองไปที่’เสียวหนิงเอ๋อ’ และถอนหายใจ
‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’ รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจของเธออย่างมาก ทำใมเธอจะต้องเป็นผู้เสียสละทุกครั้งเลยเมื่อครอบครัวมีปัญหา?
คนอื่นอยู่ใหนกัน?
โชคดีที่หญ้าหมอกม่วงนั้นเธอได้ให้’เนี่ยหลี่’ไปหมดแล้ว ‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’จึงกล่าวด้วยความกล้าว่า
“อันหญ้าหมอกม่วงนั้นถูกซื้อในนามสหายข้า ข้านำมันให้เขาไปจนหมดแล้วก่อนที่ราคาจะพู่งทะยานสูงขึ้นเช่นนี้ และเขาก็ได้คืนเงินที่ซื้อมาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหญ้าหมอกม่วงนั้นจึงไม่ได้เป็นธุรกิจของฉันนั่นเอง”
“ว่ายังไงน่ะ?”
‘เสียวยี่’ แสงสีหน้าที่น่ารังเกียจ
‘เสียวหยุนเฟย’ มองมาทาง’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’และถาม
“หนิงเอ๋อ เป็นเรื่องจริงอย่างงั้นรึ?”
“อืม”
‘เสี่ยวหนิงเอ๋อ’พยักหน้าและตอบอย่างใจเย็นว่า
“มันเป็นเรื่องจริง หญ้าหมอกม่วงนั้นตอนนี้ไม่ได้อยู่ในมือของฉันอีกต่อไป”
การแสดงออกของ’เสี่ยวยี่’กำลังหน้ามืดและบอกว่า
“เพื่อนของเจ้าชื่ออะไร และมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่?”
“ฉันสัญญากับเขาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
‘เสียวหนิงเอ๋อ’พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม แน่นอนเธอจะไม่เปิดเผยชื่อของ’เนี่ยหลี่’ เธอตัดสินใจแล้วไม่ว่าจะถูกกดดันหรือต้องเจ็บปวดอย่างไร เธอก็จะเก็บเป็นความลับที่สุด
ที่มาจาก http://tdgnovelthaitranslate.blogspot.com/2016/04/tale-of-demon-and-god-novel-chapter-25.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น