วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทที่ 11 คำข่มขู่

บทที่ 11 คำข่มขู่


เมื่อเห็นปฏิกิริยาอันกราดเกรี้ยวของ’เสิ่นซิ่ว’ ‘เนี่ยหลี’ขำเล็กน้อย กล่าวว่า
“อาจารย์หญิงเสิ่นช่างรอบรู้นัก กลับกล่าวว่าคัมภีร์เช่นนั้นไม่เคยปรากฏเพียงเพราะท่านไม่เคยเห็นมาก่อน นี่หมายความว่าอาจารย์หญิงผ่านตาหนังสือทุกเล่มบนโลกนี้แล้วหรือไม่?”
‘เสิ่นซิ่ว’เองในชาติก่อนก็ไร้เหตุผลเช่นนี้
“คัมภีร์อสนีบาต? โอ๊ะ ข้านึกออกแล้ว ข้ายืมหนังสือชื่อแบบนี้มาจากหอสมุด!”
นักเรียนสามัญชนผู้หนึ่งอุทานด้วยเสียงหวาดหวั่น เด็กชายนั้นยืมหนังสือมาสามเล่ม หนึ่งในนั้นคือคัมภีร์อสนีบาตเอง หากแต่เนื้อหาในคัมภีร์นั้นล้ำลึกนัก เด็กชายไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เพียงแต่เขาลืมคืนหนังสือกลับไปเท่านั้น
เสียงของเด็กชายยิ่งทำให้หน้าของ’เสิ่นซิ่ว’เขียวคล้ำ เด็กชายนั้นพลิกหนังสือ คัมภีร์ฉบับนี้เป็นฉบับคัดลอกหาใช่ต้นฉบับไม่ ภายในจารไว้ด้วยอักษรของอาณาจักรลมหิมะ เล่มแรกนั้นถูกแปลออกมาแล้ว หากแต่เล่มอื่นๆยังไม่ใช่ ภาษาจากยุคลมหิมะนั้นซับซ้อนจนคนทั่วไปไม่อาจเข้าใจ
โดยไม่คาดฝันว่าหนังสือเช่นนี้จะมีอยู่จริง แม้แต่รองเจ้าสำนัก’เหย่เสิ้ง’กับ’ลู่เหย’มองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าพวกเขาคนหนึ่งเป็นถึงรองเจ้าสำนัก อีกคนเป็นปราชญ์ของสถานศึกษา หนังสือในหอสมุดมีอยู่มากกว่าล้านเล่ม เก้าในสิบส่วนนั้นหลงเหลือมาจากอดีตกาล ทั้งสองเองไม่อาจระบุชื่อของหนังสือทั้งหมดได้ ทั้งหนังสือจำนวนมากยังไม่มีใครแปลออกมาได้
เมื่อครั้ง’เนี่ยหลี’ท่องไปทั่วพื้นทวีปในชาติก่อน ชายหนุ่มในครั้งนั้นเชี่ยวชาญเจ็ดภาษา เมื่อบรรลุชั้นตำนาน ชายหนุ่มในครั้งโน้นอ่านหนังสือจำนวนมหาศาลและไม่ลืมเลือนแม้แต่น้อย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าชายหนุ่มหลบซ่อนตัวในช่องมิติของตำราภูติห้วงกาลลี้ลับหลายร้อยปี อ่านตำรานับล้านเล่ม
ดังนั้นย่อมไม่เป็นปัญหาแก่’เนี่ยหลี’แม้แต่น้อยเมื่อเขาต้องการอ่านภาษาของอาณาจักรลมหิมะ แม้แต่ผู้เฒ่าชุดเทาที่นั่งอยู่กับอาจารย์ทั้งสองยังอดแสดงสีหน้าตื่นตะลึงไม่ได้ทั้งๆที่เขาไม่เคยอ่านคัมภีร์อสนีบาตแม้แต่น้อย
“เหย่เสิ้ง ส่งคนไปค้นหาคัมภีร์อสนีบาตจากหอสมุดเดี๋ยวนี้”
ชายชุดเทาสั่ง
“ขอรับ”
‘เหย่เสิ้ง’ชายตามอง’ลู่เหย่’ ปราชญ์ชายไม่กล้าอิดออด พุ่งกายจากไปโดยพลัน
นักเรียนในชั้นเรียนทุกคนต่างจับจ้องบนคัมภีร์อสนีบาตที่นักเรียนคนนั้นถืออยู่ แม้แต่’เหย่จื่อหวิน’กับ’เสิ่นเยว่’ก็ตื่นตะลึงพอควร ในฐานะของสมาชิกตระกูลใหญ่ทั้งสาม ทั้งคู่อ่านหนังสือมามากมาย แต่ไม่เคยแม้แต่จะรู้ว่ามีคัมภีร์เล่มนี้อยู่ หนังสือเล่มนี้ซับซ้อนเกินไป มีผู้พยายามศึกษาเพียงน้อยนิด
ในนครเรื่องโรจน์ มีอาคมเพียงสามชนิดเท่านั้นที่ยังพอถูกเก็บรักษาไว้ได้สมบูรณ์ คืออาคมสายลมหิมะ(ฟงเสวียะ) เพลิงวิเศษ(เสิ้นหว่อ) และคมประยุทธ์(จ้านเฟิง) แทบทุกคนจะได้ฝึกฝนอาคมทั้งสามชนิดนี้ อาคมอสนีบาตนั้นหายสาบสูญไปในยุคมืด เหลือเพียงตำราไม่กี่เล่มเช่นคัมภีร์อสนีบาต ทั้งหมดนั้นยังไม่ได้รับการแปล บางครั้งมีนักเรียนยืมมันไป แต่เมื่อพบว่าอ่านไม่ออก พวกเขาก็ส่งคืนในทันที
“นี่ไง บทที่เจ็ด คัมภีร์อสนีบาต”
เด็กชายรีบพลิกหาเนื้อหาในหนังสือ คัมภีร์อสนีบาตหนึ่งเล่มหนาหลายร้อยหน้า ภายในเต็มไปด้วยรูปภาพ อักษร และลายอาคมอสนีบาต เนื้อหาหลังจากบทแรกไม่ได้รับการแปลไว้ อักษรที่โบราณและซับซ้อนทำให้ผู้อ่านปวดศีรษะแต่แรกเห็น เมื่อพลิกไปถึงบทที่เจ็ด นักเรียนคนนั้นก็ตระหนักว่าในบทนั้นเต็มไปด้วยอาคมหลายร้อยรูปแบบ เด็กชายเริ่มเทียบอาคมกับอาคมระเบิดเพลิงสีชาดบนกระดานทีละลวดลาย เด็กในชั้นเรียนทุกคนต่างกระวนกระวาย เมื่อใดการค้นนั้นจะสิ้นสุด ใบหน้าของ’เสิ่นซิ่ว’แข็งค้างกล่าวว่า
“เจ้าอาจพบหนังสือเล่มนี้จากมุมใดมุมหนึ่งในห้องสมุด ทั้งๆที่ไม่รู้ความหมายของถ้อยคำภายในแต่เจ้ากลับกล้าอวดอ้างว่าระเบิดเพลิงสีชาดมีที่มาจากหนังสือเล่มนี้ เด็กบัดซบ เจ้าบังอาจใส่ร้ายบรรพบุรุษสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ของข้า ถ้าเจ้าหาอาคมนั้นไม่เจอ ข้าจะส่งเรื่องแก่หอพิพากษ์เทพฟ้องร้องเจ้าลบหลู่บรรพชน!”
‘เนี่ยหลี’หัวเราะลั่น กล่าวว่า
“อาจารย์หญิงแซ่เสิ่น ดูเหมือนจะเช้าไปที่จะกล่าววาจาเช่นนั้นหรือไม่? หนังสือเล่มนี้รอดพ้นจากยุคอาณาจักรลมหิมะ ผ่านเวลามาหลายพันปี ควรมีอยู่ก่อนการเกิดขึ้นของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
‘เสิ่นซิ่ว’ตอบพลางพยักหน้า ข้อความนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ใครก็ไม่อาจโต้แย้ง
“เช่นนั้นเรื่องราวก็ง่ายขึ้น”
‘เนี่ยหลี’หันมองเด็กคนนั้น กล่าวว่า
“พลิกไปหน้าสามสิบบทที่เจ็ด แผนภูมิที่หกของหน้าสามสิบ เทียบดูกับลายอาคมระเบิดเพลิงสีชาด”
เห็นว่า’เนี่ยหลี’นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ หัวใจของ’เสิ่นซิ่ว’หล่นวูบ หากเด็กชายค้นพบต้นกำเนิดของระเบิดเพลิงสีชาดจริงๆ นี่จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากตระกูลนั้นประกาศอ้างความเป็นเจ้าของอาคมระเบิดเพลิงสีชาดและอาคมสายเพลิงวิเศษอีกสิบหกชนิดว่าสร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งตระกูล นั่นช่วยเพิ่มชื่อเสียงของตระกูลได้อย่างใหญ่หลวง หากคนทั่วไปพบว่าตระกูลลอกเลียนมาจากหนังสือโบราณ ชื่อเสียงของตระกูลย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหญิงสาวแสดงความหวาดหวั่นออกมา ‘เนี่ยหลี’แอบยิ้มในใจ ชื่อเสียงของตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากการที่ตระกูลได้ครอบครองอาคมเพลิงวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลในตระกูล ความสามารถที่เด่นล้ำของพวกมันช่วยให้นครเรืองโรจน์มีความหวัง หากแต่ความจริงคือพวกมันล้วนเป็นโจรลอกเลียนแบบทั้งสิ้น
ในอดีตชาติ ระหว่างการล่มสลายของนคร ทุกตระกูลล้วนสู้เพื่อความอยู่รอด ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์รับผิดชอบกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก หากแต่ระหว่างสงคราม พวกมันกลับละทิ้งหน้าที่หลบหนีเข้าสู่เขตเทือกเขาบูรพชนเพื่อรักษาขุมกำลังไว้ นั่นทำให้กำแพงฝั่งตะวันตกกลายเป็นช่องโหว่ให้สัตว์ภูติลมหิมะฉกฉวยโอกาสยาตราทัพเข้านคร ‘เนี่ยหลี’ยังจำได้ดีถึงฉากอันน่าสยดสยองที่สัตว์ภูติเอาเลือดล้างนครได้ดี
‘เนี่ยหลี’กับคนที่รอดชีวิตได้แต่หนีตายออกจากนคร เมื่อกำเนิดใหม่ ‘เนี่ยหลี’ย่อมไม่มีความรู้สึกดีแต่ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ ‘ชาตินี้ข้าจะขับตระกูลจอมปลอมของพวกเจ้าออกจากนครให้จงได้’ หากเด็กชายต้องการให้ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ถูกเกลียดชังจากประชาชนของนคร เขาต้องทำให้ตระกูลจอมปลอมนี้โผล่หางออกมาให้ได้
“หน้าสามสิบ แผนภูมิที่หก?”
เด็กนักเรียนนั้นพึมพำ เมื่อมีคำแนะนำเช่นนี้ เด็กชายก็พบอาคมอสนีบาตที่ต้องการ
“หวา!”
เด็กในชั้นเรียนต่างอุทานด้วยความตื่นเต้น อาคมอสนีบาติรูปแบบนี้ประกอบด้วยสองท่อน ท่อนหนึ่งดูคล้ายอาคมระเบิดเพลิงสีชาด แต่อาคมระเบิดเพลิงสีชาดนั้นดูเรียบง่ายกว่าอาคมนี้มาก เหมือนถูกตัดย่นย่อลงไปครึ่งหนึ่ง
‘เนี่ยหลี’กล่าวถูกต้อง! ‘เสิ่นซิ่ว’กำหมัดแน่น ฝ่ามือขาวซีดไร้สีเลือด เมื่อ’เสิ่นเยว่’ซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่านักเรียนหันมอง’เนี่ยหลี’ ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ‘เนี่ยหลี’ตัวบัดซบพยายามเลื่อยรากฐานของตระกูลเขาชัดๆ
แน่นอนว่า’เนี่ยหลี’จับความอาฆาตแค้นของคนจากสกุลเสิ่นทั้งสองได้ เด็กชายหัวเราะในใจ คนของสกุลเสิ่นนั้นเหมือนกันหมด เมื่อพวกมันหาเหตุผลหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกมันก็จะโยนความผิดให้คนอื่น ถ้าไม่ได้กระทำความผิด ทำไมต้องกลัวคนเปิดโปง?
“แล้วอย่างไรหากต้นตระกูลของข้าดัดแปลงมาจากคัมภีร์อสนีบาตจริง?”
‘เสิ่นซิ่ว’ตอบเสียงเย็น
‘เนี่ยหลี’หัวเราะร่า
“อาจารย์หญิงดูไม่คุ้นเคยกับครรลองผู้ใช้ภูติ ต้องการให้ข้าอธิบายหรือไม่? ครรลองผู้ใช้ภูติถูกกล่าวไว้ตั้งแต่สามพันปีก่อน ผู้ใช้ภูติทุกคนต้องปฏิบัติตามครรลองนี้ ข้อที่หนึ่งร้อยหกสิบเอ็ด การนำมาซึ่งรูปแบบอาคม ลอกเลียนแบบอาคมจากผู้ใช้ภูติอื่นใดต้องระบุแหล่งที่มาไว้เสมอ ไม่สามารถกล่าวว่าสร้างขึ้นเองได้ด้วยประการใด นี่คือครรลองของผู้ใช้ภูติ”
“เจ้า…. เจ้า…”
‘เสิ่นซิ่ว’ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
คำพูดของ’เนี่ยหลี’แทงใจดำอย่างจัง เด็กชายประนามว่าตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นละเมิดครรลองผู้ใช้ภูติ หากแต่นางกลับไม่อาจโต้เถียง’เนี่ยหลี’
“หากพวกมันเรียนรู้จากอาคมระเบิดเพลิงอสนีบาตเพื่อสร้างอาคมใหม่ของตัวเองนั้นย่อมไม่เป็นไร หากประมุขรุ่นแรกของตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์กลับลดทอนย่อส่วนลงครึ่งหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นอาคมที่สร้างขึ้นใหม่ นั่นไร้ยางอายเกินไปหรือไม่? หรือประมุขตระกูลรุ่นแรกมีความคับแค้นใดมิอาจเล่าขาน?”
‘เนี่ยหลี’กระพริบตาปริบๆ ประหนึ่งเขาพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเขาแม้แต่น้อย คำพูดอันแหลมคมของ’เนี่ยหลี’ทิ่มแทงจุดอ่อนของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจัง หากมันกลับทำเสมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ คนของสกุลเสิ่นทั้งสองรู้สึกอย่างฆ่าคนขึ้นกะทันหัน เด็กนักเรียนทั้งหลายซุบซิบกัน
“ประมุขรุ่นแรกของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นคนเช่นนี้เอง”
“มีคำบอกเล่าว่าประมุขสกุลรุ่นแรกนั้นเป็นเพียงผู้ใช้ภูติระดับทอง หากแต่ในแง่ของการค้นคว้าอาคม ท่านคือปรมาจารย์ผู้รังสรรค์อาคมสายเพลิงวิเศษขึ้นมากมาย มิใช่ว่าตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์คือผู้นำในสายเพลิงวิเศษหรอกหรือ?”
“ไม่คิดเลยว่าอาคมระเบิดเพลิงสีชาดจะถูกลอกเลียนมาจากหนังสือโบราณ”
“ข้าเคยเห็นบันทึกอาคมสายลมหิมะ อาคมที่บันทึกไว้ล้วนถูกทำซ้ำและดัดแปลงจากหนังสือโบราณที่ระบุที่มาไว้ทุกครั้ง ตระกูลนั้นไม่เคยอวดอ้างว่าตัวเป็นผู้สร้างเองแม้แต่น้อย”
“นี่เป็นครรลองของผู้ใช้ภูตินะ คนที่ยังมีเกียรติเหลืออยู่ต้องทำตามทั้งนั้น”
กลุ่มนักเรียนล้วนสงสัยใจ หรือปรมาจารย์ด้านอาคมในความคิดของพวกเขา แท้จริงเป็นเพียงคนหลอกลวงที่หวังผลคนหนึ่ง ฟังคำสนทนาของเด็กนักเรียน ใจของ’เสิ่นเยว่’ไม่ยินดียิ่ง เด็กชายตัดสินให้เนี่ยหลีเป็นศัตรูของเขาไปแล้ว ใบหน้าของ’เสิ่นเยว่’ซีดเผือด เด็กชายลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“เนี่ยหลี สกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ของข้าสืบทอดมากว่าสามร้อยปี เราคือหนึ่งในสามตระกูลหลักของนคร ไม่ใช่สิ่งที่เจ้า! คนต่ำต้อยที่มาจากตระกูลยศฐาจะวิจารณ์ได้ อาคมระเบิดเพลิงสีชาดนี้จดไว้ในบันทึกของประมุขรุ่นแรก เดิมทีไม่ได้เผยแพร่แก่บุคคลภายนอก พวกเราชนรุ่นหลังพบมันขณะชำระบันทึก การที่เราจะคิดว่ามันเป็นผลงานของท่านย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
‘เนี่ยหลี’มอง’เสิ่นเย่ว’ เด็กชายนั้นเป็นคนของสกุลเสิ่นเช่นกัน มันย่อมต้องสร้างข้อแก้ตัวแก่ตระกูล ‘เสิ่นเยว่’เน้นคำ
“ตระกูลหลัก”
พลางระบุว่า’เนี่ยหลี’นั้นเป็นคนจากสกุลยศฐาเท่านั้น เด็กชายบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าหาก’เนี่ยหลี’ยังคงมีปัญหากับตระกูลเสิ่น พวกมันจะไม่ยอมอยู่เฉยเป็นอันขาด ‘เนี่ยหลี’เองหยามหยัน’เสิ่นเยว่’เช่นกัน การศึกบังเกิดก่อนงานแต่งของ’เสิ่นเยว่’กับ’เหย่จื่อหวิน’ ‘เสิ่นเยว่’นั้นหลบซ่อนตัวทันที ฟังคำของ’เสิ่นเยว่’ ‘เนี่ยหลี’ยิ่งไม่พอใจ
“เพื่อนร่วมชั้นแซ่เสิ่นช่างคุกคามคนนัก เคราะห์ดีที่นครเรืองโรจน์เรามีกฏเมืองอันเข็มงวด หาไม่แล้วข้าเกรงว่าสกุลเสิ่นคง ….”
‘เนี่ยหลี’ประพฤติตัวเช่นสุกรไม่กลัวน้ำร้อน (คนไม่รู้ว่าเคราะห์ภัยกล้ำกราย) เด็กชายกะพริบตาปริบกล่าวต่อว่า
“เชื่อว่าสกุลใหญ่เช่นสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์คงต้องช่วยปกป้องข้าด้วย หาไม่เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์คงต้องแบกหม้อก้นดำแล้ว”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น