วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Tales of Demons & Gods บทที่ 34 สัตว์อสูรระดับผสานวิญญาณ

Tales of Demons & Gods บทที่ 34 สัตว์อสูรระดับผสานวิญญาณ



             

       มีหลากหลายวิธีที่จะนำหญ้าทะเลหมอกม่วงมาใช้ หนึ่งในนั้นคือนำมาทำเป็นยาพิษที่ร้ายแรงสำหรับอสูรร้ายประเภทวานร เป็นเรื่องธรรมดาเลยที่วานรอสูรร้ายระดับซิลเวอร์จะไม่สามารถต้านทานพิษนี้ได้  ในโลกนี้สิ่งหนึ่งนั้นจะอยู่ใต้บางสิ่งเสมอ

'เนี่ยลี่ใช้เพียงธนูดอกเดียวเพื่อฆ่าเจ้าวานรยักษ์ฟ้านี่รึ?'
     

ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ด้วยความรู้สึกแปลกใจอย่างมาก

         

        มีเพียงฮูเหยียน หลานเร่อ และเอียจื่ออวิ๋นที่รู้ว่าเนี่ยลี่ได้ทายาบางชนิดไปที่ลูกธนูนั้น แต่อย่างไรก็ตาม การที่สามารถยิงธนูไปที่วานรยักษ์ฟ้าอย่างง่ายดายเป็นเรื่องที่เหนือชั้นมาก



      เมื่อได้มองดูเนี่ยลี่ฆ่าวานรยักษ์ฟ้าด้วยธนูนั้น  เซิ่นหลินเจี่ยนตะโกนบอกคณะของเขาว่า ”ทุก ๆ คนหยิบหน้าไม้ของตัวเองออกมา”



         คนของเซิ่นหลินเจี่ยนต่างหยิบหน้าไม้ของตัวเองออกมา  ต่างคิดว่าด้วยสิ่งนี้พวกเขาสามารถใช้ต่อกรกับวานรยักษ์ฟ้าได้

           



        เสิ่นเอียก็หยิบหน้าไม้ออกมาด้วย มองดูที่หน้าไม้ของเขาด้วยแรงกระตุ้น เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก เนี่ยลี่เหนือกว่าเขาในทุก ๆ ด้านจริง ๆ   ตั้งแต่การปรากฏตัวของเนี่ยลี่ เขารู้สึกว่าเอียจื่ออวิ๋นนั้นมีแต่จะยิ่งห่างและห่างไกลออกไปเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง และตอนนี้ เอียจื่ออวิ๋นก็ไม่สนในเขาแม้แต่น้อย นางเปลี่ยนไป นางหันไปมองเนี่ยลี่ นั่นทำให้เขารู้สึกคลุ้มคลั่งเป็นอย่างมาก

             
           เพียงแค่ยิงและฆ่าวานรยักษ์ฟ้าได้นั้น มันจะยากเพียงไหนกัน?

             


      เสิ่นเอียขึ้นลูกธนูที่หน้าไม้ของเขาและพุ่งไปที่ขอบของกำแพง เขาเล็งหน้าไม้ของเขาไปที่วานรยักษ์ฟ้าตนหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะห่างกำลังพอดี ด้วยท่าทีมุ่งมั่นและจริงจังอย่างมาก เขามุ่งหมายกำจัดลิงยักษ์ที่อยู่ข้างหน้า ในขณะนี้,ทุก ๆ คนที่กำลังมองเขาอยู่ต่างหยุดหายใจ ต่างลุ้นไปกับเสิ่นเอีย ผู้ที่ยืนอยู่ที่ขอบของกำแพง

             


“ด้วยเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้น มันจะยากแค่ไหนกันเชียวที่จะยิงให้โดน?” เสิ่นเอียตะโกน  แล้วเขาก็เหนี่ยวไก ในขณะที่เขาเหนี่ยวไกนั้น มือของเขานั้นสั่นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

             

ฟุ่บ * ลำแสงเย็นเฉียบพุ่งตัดผ่านไป  *ปึก* ลูกธนู่พุ่งปักที่ต้นไม้ต้นหนึ่งห่างประมาณห้าถึงหกเมตรจากวานรยักษ์ฟ้า ในตอนนี้ ใบหน้าเสิ่นเอียเริ่มเปลี่ยนไปและกลายเป็นหน้าซีดขาวจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

           


      เมื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนทำท่าแปลก ๆ พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นหัวเราะของพวกเขาเอาไว้ ถ้าพวกเขาปล่อยหัวเราะออกมา เสิ่นเอียจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุก ๆ คนต่างรู้ดีว่าเสิ่นเอียต้องการที่จะแข่งกับเนี้ยลี่ แต่....การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ...แต่ทำไมมันกลับกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปได้

             


        เสิ่นเอียแทบจะคลุ้มคลั่ง เขาแน่ใจว่าเขาสามารถทีจะยิงเป้าหมายเข้าเป้า แต่ทำไมลูกธนูเกิดส่ายขึ้นมาได้เมื่อเขาปล่อยคันไก เมื่อเขามองผู้คนรอบตัวเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะออกมา เสิ่นเอีนรู้สักอับอายเป็นอย่างมาก เขายังคงสังเกตเห็นท่าทีหัวเราะในแววตาของ เอียจื่ออวิ๋น สิ่งนี้นั้นทำให้เขารู้สึกกดดันมาก'บ้า เอ้ย! ข้าไม่เชื่อว่าข้าไม่สามารถยิงมันได้!' เขาคิด

             

     ทันใดนั้น เสิ่นเอียนำลูกธนูอีกดอกขึ้นมาและขึ้นมันกับหน้าไม้อย่างรีบเร่ง เขาเล็งหน้าไม้ไปที่วานรยักษ์ตนหนึ่งทันที

             


*ฟุ่บ*

             


     ลูกธนูพุ่งผ่านไป อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นลูกธนูเหมือนจะสูญเสียความเร็วลงและตกลงสู่พื้นดิน เสิ่นเอียไม่ได้ขึ้นหน้าไม้อย่างถูกต้อง นี่เป็นสาเหตุให้ลูกธนูล่วงลงหลังจากพุ่งไปได้ไม่ไกล

             


          ด้วยเหตุการณ์นี้ ทุก ๆ คนต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ เสิ่นเอียดูเหมือนไม่มีทักษะเอาเสียเลย เขาต้องการเลียนแบบเนี่ยลี่ด้วยการฆ่าวานรยักษ์ฟ้าด้วยลูกธนู อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาตรงกันข้ามกับเนี่ยลี่โดยสิ้นเชิง หรือเขาเพียงต้องการออกมาสร้างเรื่องน่าขำนี้เท่านั้นเหรอ

             


     เซิ่นหลินเจี่ยน เก็บอาการไม่หัวเราะออกมาและเดินเข้าไปข้าง ๆ เสิ่นเอีย เขาแต่ที่บ่าของเสวิ่นเอียและพูด “เสิ่นเอียลืมมันเสียเถอะ เจ้าไม่สามารถใช้สิ่งนี้ได้”

             


  หน้าของเสิ่นเอียเริ่มออกเป็นสีม่วง มีแต่เสียงหัวเราะของฝูงชนเท่านั้นที่เขาได้ยิน ความเกลียดของเขาที่มีต่อเนี่ยลี่เพิ่มมากขึ้น มันเป็นความผิดของเนี่ยลี่ที่ทำให้เขาต้องมาอับอายขายหน้าต่อฝูงชนเช่นนี้

             
ถ้าเนี่ยลี่รู้ความคิดของเสิ่นเอียในขณะนี้  เขาคงจะรู้สึกว่ามันไร้สาระ เพราะเขาไม่ทำอะไรต่อเสิ่นเอียแม้แต่น้อย

             

เสิ่นเอียยังคงถือหน้าไม้ของเขา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  ช่วยไม่ได้เลยที่เขารู้สึกว่าตัวเขาอยากจะขุดฝังตัวเองด้วยความอับอายนี้

             

  ในชีวิตที่แล้ว เสิ่นเอียภาคภูมิใจอย่างมากและมักทับถมเนี่ยลี่ด้วยเรื่องที่เขาเก่งกาจ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ที่มุมปากของเนี่ยลี่เริ่มปรากฏเป็นรอยยิ้มเยาะ เขาพูดเบา ๆ ว่า “เพียงเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าสามารถทำได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถทำมันด้วยได้” จำเอาไว้ !

             

  ความโกรธของเสิ่นเอียพุ่งพล่านจนระเบิดออกเมื่อได้ยินคำของเนี่ยลี่ เขาเข้าเผชิญหน้ากับเนี่ยลี่และผู้แย้งว่า

             

“ทุก ๆ อย่างเป็นความผิดของเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”

             

    เส้นเลือดมากมายปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นเอีย  เขายกหน้าไม้ในมือของเขาและเล็งไปที่เนี่ยลี่ เขากำลังใกล้บ้าเต็มตัว  ด้วยความที่เขาสืบเชื้อสายมาจากตระกูลศักดิ์สิทธ์ เขามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากอยู่ภายใน ด้วยเหตุดังนั้น เขาจึงสูญสิ้นซึ่งการควบคุมตัวเองอย่างสิ้นเชิงมื่อได้ยินเนี่ยลี่มาดูถูกเขาเช่นนี้

             


*กึก* เซิ่นหลินเจี่ยนแย่งหน้าไม้มาจากมือของเสิ่นเอียและพูดเสียงดังว่า “ พอได้แล้ว !”

             


        เสิ่นเอียเงยหน้าขึ้นและมองเห็นหน้าอันเย็นชาของเซิ่นหลินเจี่ยน เมื่อได้เห็น จิตใจเขาเริ่มรู้สึกแย่ลงเขากวาดตาดูรอบ ๆตัวและเห็นสีหน้าเช่นเดียวกันนี้บนใบหน้าของคนอื่น ๆ ตอนนี้ ทุก ๆคนนั้นยืนอยู่ข้างเนี่ยลี่ เขาหันหลังกลับและจำใจต้องเดินออกจากกลุ่มด้วยความไม่พอใจ

             


การวิพากษ์วิจารณ์เริ่มเกิดขึ้น หลังจากมองดูเสิ่นเอียเดินจากไป

             

“ไม่เคยคิดเลยว่าเสิ่นเอีย จะเป็นคนเช่นนี้”

             

“นั้นไม่ใช่พฤติกรรมที่คนชั้นสูงจะทำแบบนี้”

             


      ดวงตาของเนี่ยลี่เริ่มกลายเป็นดวงตาที่เย็นชาเมื่อเขาระลึกถึงความรู้สึกที่มีต่อตระกูลศักดิ์สิทธิ์และทุก ๆ สิ่งที่คนของเสวิ่นเอียได้ทำมัน  แม้ว่าคนอย่างมันและตระกูลของมันจะพินาศ เนี่ยลี่จะไม่รู้สึกสงสารพวกมันแม้แต่น้อย

             



         เมื่อได้มองเห็นเสิ่นเอียเดินจากไปคนเดียว เอียจื่ออวิ๋นเดินไปข้าง ๆ เนี่ยลี่และพูดกับเนี่ยลี่ว่า “ เนี่ยลี่เสิ่นเอียน่าสงสารมากนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของเอียจื่ออวิ๋น คิ้วเนี่ยลี่เริ่มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เขาไม่คิดว่าเอียจื่ออวิ๋นจะมีความเห็นใจให้กับเสิ่นเอีย เอียจื่ออวิ๋นนั้นมีจิตใจอ่อนโยนเกินไป ในชีวิตที่แล้วของเขา เอียจื่ออวิ๋นตกลงจะแต่งงานกับเสิ่นเอียหลังจากที่เขาอ้อนวอนนางอย่างมาก แต่ในที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะได้แต่งงานงานกัน เสิ่นเอียได้เผ่นหนีและละทิ้งเมืองกลอรี่ไปกับคนในตระกูลของเขา เขาเป็นคนแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปสงสารคนเช่นนี้
             

       ด้วยความรู้สึกชิงชังในหัวใจของเขา เนี่ยลี่มองที่เอียจื่ออวิ๋นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จะต้องไปสงสารมันด้วยเรื่องอะไรกัน” นับแต่จากนี้ไป อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก! ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก  คนเลวอย่างมันแม้จะต้องตาย มันก็สมควรแล้วล่ะ

             

เมื่อได้ฟังเนี่ยลี่พูดตำหนิด้วยท่าทีจริงจังแบบนั้น  เอียจื่ออวิ๋นทำหน้าบุ้ยปากไม่พอใจ

           


         นางกำลังคิดในใจว่า 'เขาไม่ใช่คนรักของข้า ด้วยเรื่องอะไรกันที่เขาจะมาห้ามนางไม่ให้ติดต่อกับคนอื่น' อย่างไรก็ตามนางได้ตัดสินใจด้วยตัวของนางเองที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเสิ่นเอีย ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้ที่นางจะไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเนี่ยลี่ได้อีก  ความรู้สึกกังวลของนางเกี่ยวกับความคิดของเนี่ยลี่เริ่มก่อตัวขึ้นช้า ๆ

             

      ทำไมเนี่ยลี่ถึงเกลียดเสิ่นเอียมากถึงเพียงนั้น' มีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับความแค้นระหว่างสองคนนี้อย่างนั้นหรือ ?

             


  เนี่ยลี่ถอนหายใจ อารมณ์ของเขาพุ่งสุงขึ้นไปหน่อยเมื่อชั่วครู่นี้ ด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังมากไป อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องดีที่จะต้องเตือนเอียจื่ออวิ๋นบ้างเล็กน้อย

             

       คนของเซิ่นหลินเจี่ยนเริ่มที่จะจัดการกับกองกำลังวานรยักษ์ฟ้าด้วยหน้าไม้ อย่างไรก็ตามพวกเขาตระหนักว่าลูกธนูของเขานั้นไม่สามารถทำอะไรต่อพวกมันได้เลย มันเป็นเรื่องจริงที่พวกวานรยักษ์ฟ้านั้นมีร่างกายอันใหญ่โต แต่กระนั้นการเคลื่อนไหวของพวกมันก็รวดเร็วมากเช่นกัน เมื่อพวกเขายิงธนูออกไป เจ้าลิงนั่นสามารถที่จะหลบมันได้ในทันที ทำให้ธนูของพวกเขาพลาดเป้า

             

      จนกระทั่งบัดนี้ พวกเขาเพิ่งตระหนักว่าทักษะการยิงธนูของเนี่ยลี่เป็นเช่นไร

             

    หลังจากค้นพบความสามารถอีกอย่างของเนี่ยลี่ ความหลงใหลที่มีต่อเนี่ยลี่ปรากฏอยู่ในดวงตาของฮูเหยียน หลานเร่อ เมื่อใดก็ตามที่นางมองไปที่เนี่ยลี่ นางจะแสดงอาการยั่วยวนแก่เนี่ยลี่ โดยนางพยายามอวดส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายและทรวงอกที่ใหญ่โตซึ่งมีร่องอกที่ลึกให้เนี่ยลี่มอง(**เป็นคุณจะทำอย่างไร)

             


         เนี่ยลี่ไม่มีคำพูดใด ๆ บรรยายเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ได้เลย นางพร้อมที่จะเร่าร้อนได้ทุกเมื่อ เมื่อนางมองหน้าผู้อื่นนางมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป แต่เมื่อนางมองหน้าเนี้ยลี่ นางรู้สึกเหมือนว่าจะเร่าร้อนมากเป็นพิเศษ

             


        “น้องเนี่ยลี่ พวกเราคงต้องมอบภาระนี้ให้แก่เจ้า “ เซิ่นหลินเจี่ยน ถอนหายใจ ท่ามกลางกลุ่มคณะเดินทางนี้ เนี่ยลี่เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถจัดการฝูงวานรยักษ์ฟ้าเหล่านี้ได้

           



 “เข้าใจแล้ว!” เนี่ยลี่ตอบพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย

             


        เนี่ยลี่เริ่มจัดการวานรยักษ์ฟ้าตามเส้นทางที่พวกเขาผ่าน เขาเล็งได้แม่นมากและไม่เคยพลาดเป้าแม้สักครั้งเดียว ทักษะการยิงธนูของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อชีวิตที่แล้วของเขา แม้ว่าวรยุทธของเขาอยู่เพียงแค่ระดับ บรอนซ์หนึ่งดาวก็เพียงพอสำหรับการจัดการการอสูรธรรมดาที่อยู่ระดับซิลเวอร์

             


        ทุก ๆ คนต่างแปลกใจในทักษะการยิงธนูของเนี่ยลี่ แม้ว่ายอดฝีมือระดับซิลเวอร์จะพูดว่าการหลบลูกธนูของเนี่ยลี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกอสูรวานรยักษ์ฟ้าจะพยายามหลบเพียงใด ลูกธนูนั้นก็จะเหมือนเงาที่ไล่ตามหลังพวกมันและเข้าเป้าเสมอ

             


     โดยที่ไม่รู้ตัว เนี่ยลี่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของทุกคนในสถานะ สมาชิกหลักของทีม

           


      เพียงแต่ว่าระหว่างที่เนี่ยลี่และคณะได้เคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ สู่จุดหมายของพวกเขา จำนวนของอสูรวานรยักษ์ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกมันมีประมาณ ยี่สิบ ตัว ต่างจับตามองมาที่เนี่ยลี่และคณะ
           


 “โรรวว!”

             

เสียงคำรามอันกึกก้องดังขึ้น พื้นดินทั้งหมดเริ่มสั่นอย่างรุนแรง เสียงมันพุ่งพ่านไปในแก้วหูแทบฉีกขาด ทุก ๆ คนต่างมองหน้ากัน

             

มันเป็นอสูรปีศาจประเภทผสานวิญญาณ! เนี่ยลี่พูดด้วยความพรั่นพรึง

             


      สัตว์ปีศาจทั่วไปนั้นก็เหมือนกับมนุษย์ พวกมันแยกได้เป็นระดับบรอนซ์ ซิลเวอร์  โกลด์ แบล็คโกลด์ และระดับตำนาน อย่างไรก็ตามท่ามกลางระดับเหล่านี้ ยังมีระดับธรรมดา ระดับผสานวิญญาณและระดับผู้ทรงภูมิปัญญาในอสูรปีศาจนี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเจ้าพวกวานรยักษ์ฟ้านี้ พวกที่เป็นระดับธรรมดาไม่สามารถควบคุมความนึกคิดในจิตใจของมันได้โดยทำไปตามสัญชาติญาณ แต่เจ้าพวกอสูรปีศาจประเภทผสานวิญญาณสามารถควบคุมจิตวิญญาณของมันได้ มันเหมือนกับมีความคิดประมาณเด็กทั่วไปที่อายุได้ สิบขวบ พละกำลังของมันนั้นมากกว่าระดับธรรมดา และสำหรับระดับทรงภูมิปัญญา จิตวิญญาณภายในความคิดของมันนั้นเปรียบเสมือนดั่งของเหลวที่มีความสามารถถึงขั้นแปรเปลี่ยนสภาพร่างกายภายนอกให้อยู่ในรูปร่างมนุษย์ได้ พละกำลังของมันมีปริมาณมากมหาศาลอย่างน่าตกใจ

             

“มันมีพละกำลังเท่าไหร่” หน้าของเซิ่นหลินเจี่ยนเปลี่ยนไป และเริ่มถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

             

        “ ระดับ ซิลเวอร์ห้าดาว” เมื่อได้ยินคำนี้ เซิ่นหลินเจียนขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าพวกเขาจะต้องมาเผชิญหน้ากับอสูรระดับผสานวิญญาณได้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันมีอยู่ในระดับซิลเวอร์ห้าดาว
เขากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับมัน และมันยังมีวานรยักษ์ฟ้าอีกหลายตนอยู่รอบ ๆ บริเวณนี้ ถ้าเกิดการต่อสู้ได้ปะทุขึ้นมา มันเป็นไปได้ว่าที่พวกเขาทั้งหมดจะถูกกำจัด

             

“โรรรว!”

             

  เจ้าวานรยักษ์ฟ้าผสานวิญญาณไต่ขึ้นไปบนยอดสุดของกำแพง สายตาของมันมุ่งร้ายและจ้องมาที่เนี่ยลี่และคณะ

             


        “มานี่ ตามข้ามา!” เนี่ยลี่ตะโกนและกระโดดมุ่งหน้าเข้าป่าด้านข้างตัวเขา

             

         ทุก ๆ คน ต่างมองกันชั่วขณะและตามเนี่ยลี่ไปอย่างรวดเร็ว หลบซ่อนตัวอยู่ในป่า เมื่อได้เห็นดังนั้น เจ้าวานรยักษ์ฟ้าผสานวิญญาณได้รัวทุบหน้าอกอย่างรุนแรงและกระทืบเท้าเสียงดัง เสียงคำรามอันกึกก้องได้ยินอีกครั้ง กลุ่มของวานรยักษ์ฟ้าเมื่อได้ยินคำสั่งของหัวหน้าพวกมัน ต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เนี่ยลี่และคณะวิ่งหนีไป

             
      การเข้าไปในป่าหนาทึบนั้นไม่ง่ายสำหรับพวกอสูรวานรยักษ์ฟ้าซึ่งมีร่างกายขนาดใหญ่โต

           

       “ตั้งแนวรบ” เซิ่นหลินเจี่ยนพูดด้วยนำเสียงดุดัน กลุ่มยอดฝีมือระดับซิลเวอร์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและไปแฝงตัวภายในต้นไม้รอบ ๆ ตามแนวรบแบบวงกลมและได้นำอาวุธของพวกเขาออกมาเตรียมพร้อมรบ

         
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !

        วานรยักษ์ตนหนึ่งฟ้าพุ่งแหวกแนวแมกไม้ออกมาเข้าปะทะกับกลุ่ม เนี่ยลี่หยิบหน้าไม้ของเขาออกมาและธนูดอกนึงได้พุ่งออกไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น