วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บทที่ 21 สรรพคุณของหญ้าหมอกม่วง

บทที่ 21 สรรพคุณของหญ้าหมอกม่วง


หลังใช้เวลาไปสองชั่วโมงในการหลอมโอสถ ผลที่ได้ทำให้’หยางซิน’ตกตะลึงยิ่งแล้ว เติมหญ้าหมอกม่วงไปในการหลอมปรุงโอสถหลอมวิญญาณและยาเม็ดบำรุงจิตเพิ่มผลการบำรุงอีกสามส่วน โอกาสสำเร็จยังเพิ่มอีกห้าในสิบส่วน ผลการทดลองนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ความสามารถของนักปรุงยาก้าวกระโดดไปไกล
ปกติแล้วยาเม็ดทั้งสองชนิดนี้ไม่อาจผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากได้อันเนื่องมาจากอัตราความสำเร็จต่ำ ผลลัพธ์ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับต้นทุน แต่เมื่อทั้งผลสรรพคุณยาและโอกาสสำเร็จในการหลอมสร้างเพิ่มขึ้นเช่นนี้ โอสถหลอมวิญญาณและยาเม็ดบำรุงจิตก็สามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้แล้ว
แม้หญ้าหมอกม่วงในนครเรืองโรจน์จะขาดแคลน แต่หญ้าชนิดนี้กลับโตไวมากด้วยเวลาเพียงสามปีก็ถึงระยะเก็บเกี่ยว ดังนั้นอีกสามปีต่อไป หญ้าชนิดนี้จะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่งของนคร
นครเรืองโรจน์นั้นตกอยู่ภายใต้การคุกคามของภัยสัตว์อสูรมาเป็นเวลายาวนาน แต่เมื่อมีโอสถสองชนิดนี้ นครจะมีโอกาสสร้างผู้มีฝีมือขึ้นอีกมาก
“ถึงเจ้าจะได้โชคลาภจากครั้งนี้ แต่เห็นแก่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อนครและสมาคม ข้าจะให้เจ้าได้เปรียบสักครั้ง”
‘หยางซิน’แสดงสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง นางรู้ว่าจดหมายฉบับนี้ส่งมาจากผู้กว้านซื้อหญ้าหมอกม่วงนั้นเองผลลัพธ์ที่สองของหญ้าหมอกม่วงคือการนำไปผสมกับสมุนไพรอีกห้าชนิดแล้วใช้อาบบำรุงพลังวิญญาณ?
‘หยางซิน’ครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนตัว นางผสมสมุนไพรหลากชนิดเข้าด้วยกันตามคำแนะนำในจดหมาย เทน้ำร้อนลงในถังไม้ ปลดเปลื้องเสื้อคลุมออกช้าๆ เผยให้เห็นเรือนร่างอ่อนเยาว์ รูปร่างสมส่วน ปทุมถันทั้งสองชูตั้งเด่นท้าสายตา นางกอปรด้วยสเน่ห์ของหญิงสาวเต็มวัยที่ไม่อาจต้านทาน ร่างงามนั้นหย่อนลงในถังไม้ช้าๆ
ตัวยาสำคัญในสมุนไพรค่อยๆละลายออกช้าๆ ก่อนถูกร่างกายนั้นดูดกินเข้าไป ผิวของนางค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เนียนนุ่มยิ่งกว่าเดิม เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม พลังวิญญาณของนางยิ่งได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่
“สรรพคุณเด่นชัดนัก!”
‘หยางซิน’ตกตะลึง นางไม่คิดว่าหญ้าหมอกม่วงธรรมดาสามัญจะมีสรรพคุณสุดวิเศษเช่นนี้ ในอดีตมีกี่บ้านกี่เรือนที่เผาหญ้านี้ทิ้งไป ความคิดนี้ยิ่งทำให้นางปวดใจเมื่อคิดไปถึงหญ้าที่ถูกเผา
หลังอาบน้ำยาสมุนไพรครบชั่วโมง ตัวยาสำคัญทั้งหลายถูกดูดซึม นางลุกขึ้นยืนเช็ดตัวจนแห้ง สวมชุดก่อนเดินกลับออกจากห้อง
“ท่านประธาน เกิดอะไรขึ้น? ท่านประธานดูเด็กลงไปพอควร”
บรรดาบุรุษในสมาคมล้วนจับจ้องเรือนร่างของ’หยางซิน’ไม่วางตา การละสายตาจากนางนั้นทำได้ยากยิ่ง
ผิวของ’หยางซิน’สีแดงเรื่อ ทั้งนุ่มชุ่มชื้น นี่คือความงามของผิวพรรณที่เป็นที่สุดแล้ว ยาสมุนไพรผสมด้วยหญ้าหมอกม่วง นอกจากบำรุงพลังวิญญาณ ยังบำรุงผิวพรรณ เป็นผลที่เสริมความงามได้ดี!
‘หยางซิน’นั้นอารมณ์ดียิ่ง ไม่มีสตรีคนใดไม่ยินดีกับความงามของตัวเอง แต่น่าเสียดายนักที่หญ้าหมอกม่วงสามจินนั้นหมดลงอย่างรวดเร็ว ‘หยางซิน’ประมวลผลลัพธ์ที่บันทึกไว้ในจดหมายลงในหนังสือก่อนแจกจ่ายให้นักปรุงยาทุกคน แจ้งว่าข้อแรกและข้อที่สองนั้นนางได้ทดสอบด้วยตัวเองทั้งได้ผลดียิ่ง สำหรับผลลัพธ์อื่นๆนั้น ด้วยขาดแคลนหญ้าหมอกม่วงจึงมิอาจชี้ชัดลงไปได้
สำหรับหญ้าหมอกม่วง มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้มากมายหลากหลาย ภายภาคหน้าคงเป็นที่ต้องการ แก่นักปรุงยาและชาวบ้านทั่วไปจำนวนมากเป็นแน่ และนักปรุงยาที่มียาหมอกม่วงก็ได้เริ่มที่จะทดสอบวิธีใช้งานของหญ้าหมอกม่วงอย่างเร่งรีบ
วิธีใช้งานทั้งหมดหกสิบกว่าวิธีการและได้รับการตรวจสอบแล้วว่าสามารถใช้งานได้ทั้งหมด
ข่าวนี้ทำให้ช๊อกวงการปรุงยาเป็นอย่างมากนัก ในระยะเวลาสั้น ๆราคาของหญ้าก็ได้พุ่งสูงขึ้นในตลาด และขณะนี้ในตลาดไม่มีหญ้าหมอกม่วงอยู่ในตลาดด้วยแล้ว ราคาจึงได้ขึ้นอย่างไม่มีหยุด
ราคาของหญ้าหมอกม่วงนั้นเดิมที 1เหรียญจิตมาร ก็สามารถซื้อได้ปริมาณหลายจินแล้ว ตอนนี้ 10 เหรียญจิตมาณสามารถซื้อได้ไม่ถึง จินเลยด้วยซื้อ และยังมีข่าวว่าชนชั้นสูงบางกลุ่มรับซื้อในราคาร้อยเหรียญจิตมารสำหรับ หญ้าหมอกม่วงเพียง 1 จินด้วยซื้อแม้จะซื้อในจำนวนจำกัดก็ตาม ยิ่งหญ้าหมอกม่างมีสรรพคุณช่วยเพิ่มความสวยความงามด้วยแล้ว จึงเป็นที่ต้องการของตลาดยิ่งนัก
หลังจาก’หยางซิน’ ผู้อำนวยการสำนักปรุงยาได้ทดสอบผลดังกล่าวแล้ว สำหรับหญิงสาวที่มีสามีแล้วก็ต้องการเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันให้สามีแอบไปมีคนอื่น
เนื่องจากสรรพคุณและวิธีใช้หลากหลายวิธีจึงมีหลายๆคนเริ่มที่จะมีการเพาะปลูก และหญ้าหมอกม่วงนั้นต้องใช้เวลา 3 ปีถึงจะเก็บเกี่ยวได้ จึงเกิดการขาดแคลนหญ้าหมอกม่วงในเมืองกลอรี่ขึ้น
ณ ตระกูลปีกมังกร
ขณะที่’เซียวหนิงเอ๋อ’กำลังตั้งสมาธิในการบำเพ็ญของตัวเองอยู่นั้น คนรับใช้ก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แย่แล้ว! แย่แล้ว! แม่นาง มีข่าวใหญ่แล้ว
“มีเรื่องอะไรอย่างงั้นรี”
‘เซียงหนิงเอ๋อ’ถามด้วยความสงสัย
แม่บ้านกล่าวด้วยความกระหอบกระหืดว่า
“แม่นางรู้หรือไม่ มีคนต้องการหญ้าหมอกม่วงเป็นจำนวนมาก?”
ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือหลายร้อยเหรียญจิตมารต่อ 1 จินแล้วแล้ว และยังมีข่าวว่าตระกูลเทพศักดิ์นั้นต้องการซื้อหญ้าหมอกม่วงจำนวน 100 จิน โดยให้ราคาจินล่ะสามร้อยจิตมารเลยทีเดียว
‘เซียวหนิงเอ๋อ’รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับข่าวที่ได้ยินเป็นอย่างมาก เธอคิดว่าราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ’เนี่ยหลี่’แน่นอน ‘เนี่ยหลี่’ช่างมีความสมารถที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ในความคิดของเธอนั้นไม่สามารถที่จะหักห้ามใจได้ที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในหัวใจ
ณ ห้องสมุด สถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์
ราคาของหญ้าหมอกม่วงนั้นพุ่งสูงขึ้น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ‘ตูเซอ’และ’ลูเปียว’ ต้องตกตลึกมากเพราะในมือของเนี่ยหลี่นั้นมีเก็บไว้ในมือเขาเป็นร้อยหรือหลายพันจินเลยทีเดียว
หากขายได้หญ้าหมอกม่วงที่อยู่ในมือพวกเขาทั้งหมดอาจจะทำให้ได้รับมากกว่า 10 ล้านเหรียญจิตรมารเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเลยหากขายให้กับพวกตระกูลขุนนาง
ที่ให้ราคาที่สูงกว่าปรกติแล้วจะเป็นเงินเท่าใดกัน
การจัดการของของ’เนี่ยหลี่’ไม่กี่วันสามารถหารายได้เท่ากับตระกูลขุนนางยศฐา หาได้เกือบ 10 ปีเลยทีเดียว
สำหรับเงินที่จะได้รับนั้นพวกเขาสามารถซื้อสิ่งของที่ต้องการในการเพาะปลูกได้อย่างไม่จำกัดเลยที่เดียว
‘เนี่ยหลี่’ยิ้มอย่างมีเลศนัย นี่เป็นขั้นตอนแรกของแผน ‘เนี่ยหลี่’รู้ว่าสำราจร้านค้าหลายร้านซึ่งเขาจะขายเฉพาะบางร้านค้ารอบล่ะ 1 พันจินสำหรับร้านค้าที่รับซื้อในราคา 300 จิตมาร ลูกค้าส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคนชั้นสูงที่เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามเป็นซะส่วนใหญ่
ในระยะเวลาอันสั้น’เนี่ยหลี่’สามารถหาเงินได้เกือบ 3 ล้านเหรียญจิตรมารเลยทีเดียว ซึ่งเขาจำเป็นที่จะต้องค่อยๆขายสินค้าไปทีละน้อยเพื่อไม่ให้สินค้าในตลาดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าลดลงได้
ในห้องสมุด
“ของพวกนี้เป็นของพวกเจ้า”
‘เนี่ยหลี่’ ยื่นให้แก่ ‘ลูเปียว’ ‘ตูเซอ’ และพวกทั้งสาม ซึ่งมียารวมวิญญาน และยาหล่อเลี้ยงวิญญาน ยารวมวิญญาน และยาหล่อเลี้ยงวิญญาน มีราคาถึง 6 พันเหรียญจิตรมารเลยทีเดียว
หกคน ทุกคนได้รับคนล่ะ 10 ขวด ทั้งหมดนี้เป็นเงินมากกว่า 3 แสนเหรียญจิตรมารเลยทีเดียว ขนาดชนชั้นสูงบางกลุ่มยังไม่กล้าที่จะใช้ฟุ่มเฟือยขนาดนี้มาก่อนเลย
หลังจากรู้ราคาของยาเหล่านี้มีราคาสูงกว่า 6 พันเหรียญจิตรมารทำให้พวกเขาทั้ง คนอดที่จะมือสั่นไม่ได้ เมื่อถือยาเหล่านี้
“เร็วเข้ารีบไปฝึกฝนซะ หลังจากพวกเจ้าใช้ยาพวกนี้แล้วอย่าลืมลงไปแช่หญ้าหมอกม่วงช่วงกลางคืนเพื่อหล่อเลี้ยงวิญญานให้แข็งแกร่งด้วย”
‘เนี่ยหลี่’พูดไป พรางหัวเราะ หลังจากได้รับเงินมาจำนวนมาก พวกเขาก็ยังสามารถที่จะซื้อเสือเกระรบราคาแพง หรืออาวุธที่ใช้โจมตีระยะประชิต ได้สบายๆเลยทีเดียว
‘เนี่ยหลี่’นั่งขัดสมาธิ และเริ่มบำเพ็ญบ้าง หลังจากเขาได้กินยารวมวิญญานเข้าไป เขาก็เริ่มรุ้สึกร่างกายสามารถรับรู้พลังได้อย่างรวดเร็ว และค่อยๆเคลื่อนพลังงานผ่านไปยังเขตแดนจิตวิญญานของเขา ก่อให้เกิดของเขตของพลังวิญญานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พลังงานเริ่มเพิ่มขึ้นช้าๆในเขตแดนวิญญานทำให้เขามองเห็นจุดสีฟ้าเล็กๆ
เนื่องจากประสิทธิภาพของยารวมวิญญานนั้นมีผลแรงมาก ปกติคนธรรมดานั้นสามารถใช้งานของมันได้ประมาณ 1 ใน 10 แต่’เนี่ยหลี่’นั้น บ่มเพาะด้วยวิธีเคล็ดวิชาเทพวิถีฟ้าทำให้ ร่างกายของเขาสามารถซึมซับพลังวิญานได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้พลังของเขตแดนวิญญานของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และหลังจากดูดซับพลังงานวิญญานพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นจาก 32 เพิ่มไปเป็นถึง 51 ซึ่งเป็นผลลัพท์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งถึงแม้จะยังมียาคงเหลืออีก 5 เม็ดเขาก็ยังไม่อยากใช้ในตอนนี้
ขณะกำลังฝึกพลังอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง บูม! เข้ามาในหัว ซึ่งข้างๆเข้า ‘ตูเซอ’นั่นเอง ตอนนี้ก็มีแสงสีฟ้าเรืองแสงที่ร่างของ’ตูเซอ’ นั้นหมายความว่า ‘ตูเซอ’นั้นได้ก้าวไปสู่ระดับ 1 ดาวทองแดงแล้วนั้นเอง และ 3 ชั่วโมงต่อมา ‘ลูเปียว’ ก็ได้ไปถึงระดับ 1 ดาวทองแดงด้วยเช่นกัน
ด้วยเทคนิคฝึกพลังนั้น เทคนิคของ’ตูเซอ’และ’ลูเปียว’นั้น มีความเร็วมากกว่าเทคนิคของ’เนี่ยหลี่’ แม้จะช้าแต่ในอนาคตข้างหน้านั้นจะทรงพลังอย่างยิ่งเมื่อฝึกสำเร็จ
“ระดับ 1 ดาวทองแดงรึ”
มันเป็นอะไรที่ยอดมาก เขาเอากำปั้นตบประสานกับมือของเขา ความแข็งแกร่งที่ได้จากการเพาะปลูกนั้น ทำให้อนาคตของหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสามารถหวังได้กับอนาคตที่ดี เขาเหลือบมองไปยัง’เนี่ยหลี่’ที่มอบให้กับเขา
‘ลูเปียว’รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เขามาถึงระดับทองแดง 1 ดาวแล้ว เมื่อเขากลับบ้านไป พ่อเขาจะไม่สามารถดุด่าและตีเขาได้อีกแล้ว
พวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่า 2 เดือนนี้พวกเขาจะไปได้แค่ใหน อีก 2 เดือนที่จะถึงพวกเขาจะไปถึงระดับใดกัน?
แม้ว่า’เนี่ยหลี่’จะไปยังไปไม่ถึงระดับ 1 ดาวทองแดง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก ใครจะรู้ล่ะเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะถึงระดับที่สูงกว่านั้นก็ได้
พวกเขาจินตนาการถึงหน้าของ’เสิ่นซิว’ ที่มองพวกเขาเป็นดังเช่นขยะ ว่าหล่อนจะรู้สึกอย่างไร ถ้าพวกเขารู้ว่า ‘ตูเซอ’ และ ‘หลูเปียว’ไปถึงระดับ 1 ดาวทองแดง ในเวลาไม่กี่วัน
ในเวลาเย็น
ชั้นแรกของห้องสมุด ‘เนี่ยหลี่’มาพบกับ ‘เย่จื่อหวิ๋น’อีกครั้ง,เธอมานั่งอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วในขณะนี้และกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ซึ่งเธอมาในชุดสีขาวใบหน้าที่สะสวยระเอียดอ่อนเหมือนกับนางฟ้าเลยทีเดียว
‘เนี่ยหลี่’ได้เดินเข้าไปหา’เย่จื่อหวิ๋น’
‘เสิ่นเหย่’และพวกของเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่มุมของห้องสมุดซึ่งแอบมองด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“นายท่านเสิ่นเหย่, เหมือนว่าธิดาเย่จือหวิ่นจะมีนัดกับคนพิเศษอยู่นะ”
ลูกน้องที่ใส่เสื้อสีฟ้าอายูราว 16-17 ออกความเห็น แม้ว่าอายุของเขาจะมากกว่า’เสิ่นเหย่’ แต่พวกเขาก็เชื่อฟังคำสั่งของ’เสิ่นเหย่’
อย่างดีเลยที่เดียว,
เพราะ’เสิ่นเหย่’นั้นเป็นลูกหลานของตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ และครอบครับของพวกเขาก็ได้เงินสนับสนุนเล็กน้อยจากตระกูลเทพศักดิ์ทุกเดือน และเมื่อพวกเขาเติบโตพวกเขาก็พร้อมที่จะเข้ามาเป็นองค์รักษ์ของ’เสิ่นเหย่’อีกด้วย
นักสู้1-ดาวทองแดง,นักสู้ 2-ดาวทองแดงและนักสู้ธรรมดา 3 คนนี้คิดว่าเป็นทางเลือที่ดีที่สุดเลยทีเดียว
‘เสิ่นเหย่’นั้นสบถอยู่ในใจ,เขาแทบที่จะทนไม่ได้ ทั้งที่เขามาจากครอบครัวชั้นสูง เหนือกว่า’เนี่ยหลี่’ทุกอย่าง?
ทำใม’เย่จื้ออวิ๋น’ถึงได้เฉยเมยต่อเขานัก’เสิ่นเหย่’รู้สึกโกรธและหึงหวงเป็นอย่างมาก
นี้ถ้าเป็นผู้หญิงจากครอบครัวอื่น ‘เสิ่นเหย่’นั้นสามารถใช้วิธีการบางอย่างให้เชื่อฟังเขาได้ แต่ ‘เย่จื่ออวิ๋น’นั้นมาจากครบครัวที่สูงศํกดิ์มาก เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“นายน้อย จัดการไอ้เด็กนั้นเลยใหม่”
ลูกน้องบางคนในกลุ่มพูดออกมา
“เดี๋ยวก่อน”
‘เสิ่นเหย่’พยักหน้า และคิดถึงเรื่องที่เขาแพ้’เนี่ยหลี่’ แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเขานั้นแพ้ได้อย่างไร ‘เนี่ยหลี่’นั้นใช้วิธี่อะไร เขาต้องหาโอกาสจัดการ’เนี่ยหลี่’ให้ได้ และเขาก็ไม่อยากให้’เย่จืออวิ๋น’รู้ถึงเรื่องนี้อีกด้วย
สายตาของ’เสิ่นเหย่’บ่งบอกถึงความเหี้ยม
“จะต้องจัดการมันโดยไม่ให้คนอื่นรู้ว่าครอบครัวเทพศักดิ์สิทธิเป็นคนทำ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น