วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตอนที่ 20 : หญ้าหมอกม่วง

ตอนที่ 20 : หญ้าหมอกม่วง

หญ้าเสิ้งหมิงเป็นผลผลิตของตระกูลปราชญ์วิเศษ หญ้าชนิดนี้มีผลเสริมความแข็งกล้าของพลังวิญญาณตามอายุของหญ้า หญ้ายิ่งแก่ ยิ่งทรงพลัง หญ้าอายุห้าปีมีราคาอยู่ที่ห้าหมื่นเหรียญ ส่วนหญ้าสิบและยี่สิบปีนั้น ยิ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเท่า
“รับคำสั่งนายน้อยเฉิน”
“เราจะเชื่อฟังท่าน”
เฉินหลินเจี่ยนมองไปรอบๆ ในใจนึกนับจำนวนคนที่แสดงตัว กล่าวว่า “ยี่สิบคน เรายังต้องการคนมากกว่านี้”
ไม่นานมานี้เอง มีการค้นพบซากเมืองเก่าจากยุคมืด ผู้คนจำนวนหนึ่งออกเดินทางไปผจญภัยหาขุมทรัพย์แล้ว เฉินหลินเจี่ยนต้องการคนไปร่วมแบ่งปันน้ำแกงถ้วยนี้เอง
ตู้เจ๋อ ลู่เปียว และพวกทั้งสามมองคนกลุ่มนี้จากระยะห่างไป
“ถ้าเราได้หญ้าเสิ้งหมิง ตู้เจ๋อต้องบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราได้แน่” ลู่เปียวพึมพำ แต่ยาวิเศษอย่างหญ้าเสิ้งหมิงมิใช่สิ่งที่พวกมันจะมีได้
ถ้าพวกมันมีเงิน พวกมันย่อมสามารถซื้อหาสมุนไพรทรงค่าและยาวิเศษช่วยเร่งการฝึกฝนได้
สิ่งที่เนี่ยหลีสนใจไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นสิ่งอื่นต่างหาก ชาติก่อนนั้น มือดีจำนวนมากออกแสวงโชคในซากโบราณสถานนอกนครเรืองโรจน์แต่ไม่พบสิ่งใด เฉินหลินเจี่ยนและพวกกลับได้พบทางลับซึ่งบรรจุด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล
เนี่ยหลีทราบเหตุการณ์ครั้งนั้นทั้งหมด เพราะเหย่จื่อหวินเองก็เข้าร่วมการค้นหาครั้งนั้นด้วย เสิ่นเยว่ค้นพบตะเกียงวิญญาณซึ่งประมูลได้ถึงหนึ่งล้านเหรียญ
เนี่ยหลีไม่เสียเวลาใส่ใจเงินเพียงหนึ่งล้านเหรียญ เพียงแต่มันรู้วิธีใช้ตะเกียงวิญญาณนี้ ถ้ามันได้ครอบครอง นั่นย่อมเป็นสิ่งส่งเสริมมันในภายภาคหน้า
ตะเกียงวิญญาณนั้น อย่างไรมันก็ต้องได้มา!
เนี่ยหลีลุกขึ้นยืน ก่อนเดินตรงไปยังกลุ่มของเฉินหลินเจี่ยน
“ข้าต้องการร่วมกลุ่มของท่าน เพียงไม่ทราบนายน้อยเฉินว่าอย่างไร?” เมื่อเนี่ยหลีมองเฉินหลินเจี่ยน ความทรงจำเก่าๆก็ผุดขึ้น เฉินหลินเจี่ยนนั้นเป็นชนรุ่นหลังที่โดดเด่นของเหล่าสกุลชั้นสูง ครั้งกระนั้นมันใกล้จะบรรลุชั้นเหล็กนิลแล้ว แม้เนี่ยหลีไม่อาจตัดสินว่าเฉินหลินเจี่ยนดีหรือเลวเพียงใดด้วยไม่รู้จักมันเป็นการส่วนตัว แต่ในศึกปกป้องนคร เมื่อมันทราบว่าสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งการศึก ปล่อยให้ประตูตะวันตกแตกพ่าย มันไล่ล่าสังหารสมาชิกสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ไปหกนายด้วยความเกรี้ยวกราด
นับเป็นบุรุษที่รู้บุญคุณความแค้นผู้หนึ่ง
เฉินหลินเจี่ยนเงยศีรษะขึ้นมองเนี่ยหลีอยู่ครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าเป็นใคร? รู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไร?”
ผู้คนรอบกายเฉินหลินเจี่ยนล้วนจับจ้องไปยังเนี่ยหลีด้วยสายตาสงสัย
“เด็กน้อย เจ้าบรรลุชั้นสำริดหรือไม่ หากไม่แล้วอย่าได้มาเล่นแถวนี้”
เนี่ยหลีหันหน้ามองชายผู้กล่าว ตอบว่า “ข้าทราบดีว่าพวกท่านกำลังไปที่ไหน ออกแสวงโชคที่ซากนครหลันเฉิงใช่หรือไม่?”
เฉินหลินเจี่ยนแสดงสีหน้าตื่นตระหนกในพลัน ‘เด็กน้อยผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังจะไปนครหลันเฉิง? เรื่องราวนี้กระทำเป็นความลับ หาได้กล่าวแก่ใครอื่นไม่ หากทางตระกูลรู้ เช่นนั้นพวกเราคงถูกขัดขวางแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร?” เฉินหลินเจี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแสดงความดุร้ายออกมา
“เนี่ยหลี”
“เนี่ยหลี?” เฉินหลินเจี่ยนนึกออกแล้ว เป็นเนี่ยหลีที่เพิ่งมีชื่อระหว่างนี้เอง ฟังว่ามันกล้าประนามสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เรื่องปลอมแปลงอาคม แม้แต่เฉินหลินเจี่ยนยังนึกขายหน้าแทน “ฟังว่าเจ้าอ่านตำราโบราณมามากหลาย?”
“ถูกแล้ว ข้าอ่านทุกเล่มที่มีอยู่ในหอสมุดมาแล้ว” เนี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย แสดงสีหน้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
“ฮ่าๆ วาจาเขื่องโขนัก”
“ขนที่ลับยังไม่ขึ้น กลับกล้าบอกว่าเจนจบตำราโบราณทุกประเภทในหอสมุด น่าขัน เจ้าอ่านตั้งแต่อยู่ในครรภ์ยังไม่อาจเจนจบถึงเพียงนั้น”
คนรอบๆเอ่ยวาจาดูแคลน
“เนี่ยหลี คนผู้นี้น่าสนใจนัก” เฉินหลินเจี่ยนไม่สงสัยวาจาของเนี่ยหลี มันเคาะนิ้วอยู่ครู่ถามว่า “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น บอกข้าทีว่าซากนครหลันเฉิงนี้มาจากยุคใด?”
“ด้วยหลักฐานในปัจจุบัน ซากอาคารในนครสร้างในสัณฐานกลม ตัวเมืองกลับวางผังเป็นสี่เหลี่ยม สิ่งก่อสร้างลักษณะนี้ปรากฏเพียงสองยุคหนึ่งคือยุคเฟิงเสวีย อีกหนึ่งคือยุคเสิ้งกว๋อ  หากแต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียด ฟังว่ามีคนพบภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปบัวใหญ่ ภาพบัวติดฝาผนังเช่นนี้เป็นที่นิยมมากในปลายยุคเสิ้งกว๋อ ดังนั้นข้าเชื่อว่านครหลันเฉิงนั้นอยู่ระหว่างเสิ้งกว๋อกับยุคมืดเอง...” เสียงของเนี่ยหลีหาได้อ่อนแอหรือรัวเร่งไม่ขณะวิเคราะห์ที่มาของซากนครหลันเฉิง
ฟังคำแล้ว ลิ่วล้อของเฉินหลินเจี่ยนได้แต่ตื่นตะลึง พวกมันเข้าใจคำพูดของเนี่ยหลีเพียงครึ่งเดียว
“ดี!” เฉินหลินเจี่ยนผุดลุกขึ้นยืน มันไม่คิดว่าเนี่ยหลีจะวิเคราะห์ที่มาของซากนครได้ง่ายดายเช่นนี้ แม้ความรู้เหล่านี้นับว่าง่ายดาย แต่นักประวัติศาสตร์ของนครเรืองโรจน์หลายท่านกลับไม่อาจวิเคราะห์ได้ดีเช่นนี้ สายตาของเฉินหลินเจียนฉายแววยอมรับนับถือ “นับแต่นี้ติดตามข้าเป็นอย่างไร ยาวิเศษในการฝึกฝนเรียนรู้ทั้งหลายไม่มีทางขาดมือ?”
ลิ่วล้อของเฉินหลินเจี่ยนตกใจ พวกมันไม่คิดว่าเฉินหลินเจี่ยนจะประเมินค่าเด็กน้อยนี้สูงเพียงนี้
ให้เป็นลิ่วล้อหรือ? เนี่ยหลีหัวเราะน้อยๆ “ครั้งนี้เป็นเพียงความร่วมมือระหว่างกันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ข้าเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจโครงสร้างของซากนครได้ดีกว่าข้า หากพบทรัพย์สมบัติ ข้าเลือกชิ้นแรก ที่เหลือเป็นของท่าน หากไม่ได้ดังนี้ข้าจะไปของข้าเอง”
“เลือกของชิ้นแรก เจ้าเห็นว่าเจ้าเป็นใคร?”
“ไม่บรรลุชั้นสำริดกลับเหิมเกริมพูดจาเช่นนี้กับนายน้อย?”
เฉินหลินเจี่ยนมองดูเนี่ยหลี ร่างของเด็กชายเปล่งประกายแห่งความเชื่อมั่น ทำให้เฉินหลินเจี่ยนงงงันยิ่ง เด็กผู้นี้ไม่แม้แต่จะบรรลุชั้นสำริด มันเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหน?
“ข้ารับประกันว่าท่านจะมีแต่ได้ไม่มีเสียเมื่อนำข้าไปด้วย” เนี่ยหลีกล่าวด้วยความเชื่อมัน มันรู้ตำแหน่งของสมบัติในนครอย่างชัดเจน นั่นทำให้มันมันใจอย่างยิ่ง
เฉินหลินเจี่ยนมีแผนที่ซากนครฉบับไม่สมบูรณ์ มันเงียบไปครู่หนึ่ง นี่หมายความว่าเนี่ยหลีมีแผนที่ที่ดีกว่ามันใช่หรือไม่?
“ได้ เป็นไปตามนั้น ข้าจะทบทวนอีกครั้ง หากติดตามข้า ผลรับของเจ้าย่อมไม่น้อย แต่เมื่อไม่ยินดี ข้ายังคงเชื่อว่าเรายังมีโอกาสร่วมมือกันอีก” เฉินหลินเจี่ยนหัวร่อ
ลิ่วล้อของมันล้วนงุนงง นายน้อยเฉินกลับรับปากเข้าจริง?
“หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันด้วยดี” เนี่ยหลีพูดอย่างใจเย็นก่อนหันกายเดินจากไป
“อีกสามวันให้หลัง เวลาหกโมงเช้า เราพบกันที่นี่” เฉินหลินเจี่ยนมองตามเนี่ยหลีผู้หันกายจากไป ใบหน้าของมันเผยอยิ้มซุกซน “เด็กเนี่ยหลีผู้นี้น่าสนใจยิ่ง”
“ขุดค้นซากนครหลันเฉิง? เห็นทีข้าคงต้องเตรียมการบางอย่างไว้บ้าง” เนี่ยหลีพึมพำ มันเตรียมตัวพร้อมเสมือนออกผจญภัยคนเดียว ด้วยรู้ดีกว่าการเดินทางโดยยังไม่บรรลุชั้นสำริดนั้นนับว่าอันตรายอยู่ดี
เวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนถึงตอนบ่าย
ณ สมาคมผู้ปรุงยานครเรืองโรจน์
ประธานสมาคมนักปรุงยาในปัจจุบันคือสตรีนามหยางซิน แม้นางจะมีอายุเพียงยี่สิบห้า แต่กลับประสบความสำเร็จแต่เยาว์วัย นางเป็นจอมภูติชั้นทองคำ แม้ไม่นับว่าโดดเด่นล้ำแต่อย่างใด แต่นี่นับว่าเหนือกว่าผู้อาวุโสในสมาคมหลายท่านแล้ว
ด้วยความสดสวย ครั้งกระนั้นที่นางขึ้นนั่งแท่นประธานสมาคม คนในสมาคมล้วนเห็นว่านางใช้ความงามช่วงชิงตำแหน่งนี้มา แต่เมื่อหยางซินแสดงความสามารถให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ข่าวลือทั้งหลายก็หยุดไปด้วยเหตุนี้เอง
หยางซินรวบรวมจดหมายที่ส่งมายังสมาคมผู้ปรุงยาเป็นประจำเช่นทุกวัน นักปรุงยาหลายท่านต่างส่งประสบการณ์การหลอมยาของตนเข้ามายังสมาคม จากนั้นทางสมาคมจะรวบรวมข้อคิดเห็นทั้งหลายออกมาตีพิมพ์เป็นหนังสือแจกจ่ายแก่สมาชิก
ด้วยตำราหลอมสร้างยานั้นหายสาบสูญไปเก้าในสิบส่วน ทำให้วิชาชีพของนักปรุงยาแม้จะสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาจากผลรับอันอ่อนด้อยของยาที่หลอมสร้าง ก็นับได้ว่าเป็นวิชาชีพชั้นล่างวิชาหนึ่ง
หยางซินเปิดอ่านจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า จดหมายบางฉบับนั้นกลับกลายเป็นจดหมายสารภาพรัก แต่นางโยนทิ้งไปโดยไม่แยแส ก่อนจดหมายฉบับหนึ่งจะทำให้นางสนใจยิ่ง
“ว่าด้วยการใช้หญ้าหมอกม่วงในการปรุงยา?” หยางซินขมวดคิ้วเล็กน้อย ความกังขาฉายแววชัดบนดวงหน้าขาวใส
หญ้าหมอกม่วงยังมีคุณประโยชน์อื่นใดนอกจากการเผาเพื่อขับแมลงหรือ?
หยางซินอ่านจดหมายซึ่งบรรยายสรรพคุณทางยาของหญ้าหมอกม่วงต่อไป โอสถหลอมวิญญาณ ยาเม็ดบำรุงจิต ทั้งสองนี้เมื่อเสริมเติมหญ้าหมอกม่วงลงไปเล็กน้อย เพิ่มสรรพคุณได้สามส่วน หญ้าหมอกม่วงใช้ร่วมกับสมุนไพรอีกห้าชนิด ต้มอาบเป็นน้ำยาสมุนไพร สามารถใช้หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณ
จดหมายระบุวิธีใช้หญ้าชนิดนี้มากกว่าหกสิบชนิด ครึ่งหนึ่งของสรรพคุณนี้นับว่าล้ำค่าสุดประมาณ หากเรื่องราวนี้ถูกพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง เช่นนั้นราคาของสมุนไพรชนิดนี้จะพุ่งทะยานขึ้นหลายสิบหลายร้อยเท่า
หยางซินแค่นเสียงเย็นชา “คิดยืมมือข้าปั่นราคาหญ้าหมอกม่วง? อย่างน้อยให้มีความจริงปนอยู่บ้างเถอะ เจ้าตัวหลอกลวง!”
หยางซินโยนจดหมายทิ้งไปไม่ไยดีด้วยนางไม่เชื่อว่าหญ้าหมอกม่วงธรรมดาสามัญจะมีสรรพคุณครอบจักรวาลเช่นนี้
แต่ขณะอ่านจดหมายฉบับอื่น หยางซินกลับยิ่งกระวนกระวายใจ หากหญ้าหมอกม่วงมีสรรพคุณเช่นที่บรรยายจริง เช่นนั้นจะยิ่งพัฒนาวงการหลอมสร้างโอสถไปก้าวใหญ่
“ช่างมันเถอะ ลองดูไม่เสียหาย เอาหญ้าหมอกม่วงมาให้ข้า!” หยางซินตะโกน หญ้าหมอกม่วงในสมาคมยังพอมีเก็บไว้อยู่บ้าง เช่นนั้นย่อมมีคนหาให้นางได้
ไม่นานก็มีคนจัดการให้ตามประสงค์
“ประธานหยาง เราไม่ได้เก็บสมุนไพรนี้ไว้มากนัก เรามีอยู่เพียงสามจินเท่านั้น”
หยางซินขมวดคิ้วเล็กน้อย ระลึกได้ว่าก่อนนี้มีคนกว้านซื้อหญ้าหมอกม่วงไปมหาศาล ในฐานะประธานสมาคมจะไม่ทราบได้อย่างไร
“ได้ ทราบแล้ว” หยางซินพยักหน้า เริ่มใช้หญ้าหมอกม่วงร่วมประสานในการหลอมสร้างโอสถหลอมวิญญาณและยาเม็ดบำรุงจิต
เทียบยาทั้งสองนี้สืบทอดมาในนครเรืองโรจน์นับร้อยปีแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าปรับเปลี่ยนแปลงมาก่อน ด้วยวัตถุดิบของยาสองชนิดนี้มีราคาสูงยิ่ง หากล้มเหลวย่อมเป็นที่น่าเสียดาย ยังมีใครกล้าเพิ่มเติมส่วนผสมโดยพลการ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น