ตอนที่ 2 : กบในบ่อ
ข้างๆเย่จื่อหวินมีเด็กชายร่างสูงโปร่งหล่อเหลา หางตาของเขาเหลือบมองนางเป็นระยะ เด็กชายพลันพบว่าเย่จื่อหวินกำลังมองนี่หลี ซึ่งทำให้เขาหันมาชักสีหน้าใส่นี่หลีในทันควัน เด็กชายสูงกว่านี่หลีเล็กน้อย และร่างนี้กำลังปล่อยรังสีอำมหิตเย็นเยียบ
ข้างๆเย่จื่อหวินมีเด็กชายร่างสูงโปร่งหล่อเหลา หางตาของเขาเหลือบมองนางเป็นระยะ เด็กชายพลันพบว่าเย่จื่อหวินกำลังมองนี่หลี ซึ่งทำให้เขาหันมาชักสีหน้าใส่นี่หลีในทันควัน เด็กชายสูงกว่านี่หลีเล็กน้อย และร่างนี้กำลังปล่อยรังสีอำมหิตเย็นเยียบ
นี่หลีจำเด็กคนนี้ได้ดี เสิ่นเยว่ อัจฉริยะจากตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งในสามตระกูลหลักของนครเรืองโรจน์
อาจารย์หญิงเสิ่นซิ่วซึ่งกำลังสอนอยู่หน้าชั้นคือป้าของเสิ่นเยว่เอง
ในชาติก่อน เสิ่นเยว่มักติดสอยห้อยตามเย่จื่อหวินอยู่ตลอดเวลา
ก่อนนครเรืองโรจน์จะล่มสลาย เสิ่นเยว่เกือบจะได้แต่งงานกับเย่จื่อหวินแล้ว
ในสายตาของสองตระกูล ทั้งคู่นั้นเหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก
หากแต่ก่อนจะได้จัดพิธี นครก็ถูกบุกโจมตีเสียก่อน
และเป็นตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์เองที่ทรยศนครและละทิ้งหน้าที่ป้องกันกำแพงเมืองไป
นี่อาจเป็นบุพเพสันนิวาส
เย่จื่อหวินไม่ได้แต่งให้กับเสิ่นเยว่เมื่อชาติก่อน
แต่กลับมีความสัมพันธ์กับนี่หลี เมื่อนึกย้อนไป เด็กหนุ่มอดหัวร่อในใจไม่ได้
แต่เมื่อเห็นสายตาของเย่จื่อหวินกับเสิ่นเยว่ที่กำลังจับจ้องมาแล้วก็นึกปวดศีรษะในพลัน
สายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เย่จื่อหวินคงคิดว่าเขาเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่เกียจคร้านแน่ๆ
เมื่อเห็นสายตาของเย่จื่อหวิน นี่หลีพลันหายใจไม่ทั่วท้อง
เด็กหนุ่มอดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนไม่ได้เมื่อพบใบหน้าคุ้นเคย
นี่หลีตาแดงจมูกแดง ก่อนจะเผยอยิ้มให้แก่เย่จื่อหวิน
‘ต้องขอบคุณตำราภูติห้วงกาลลี้ลับที่ทำให้เราได้พบกันอีก’
นี่หลีคิดในใจอย่างยินดี
‘ประหลาดคน’
เย่จื่อหวินนึก
นางรู้สึกว่าสายตาของนี่หลีมีบางสิ่งแปลกประหลาด
ดวงตาของเด็กหนุ่มทอประกายประหนึ่งแสงดาว แต่กลับซ่อนความเสียใจไว้ลึกล้ำ
ในใจของเย่จื่อหวินเต็มไปด้วยคำถามว่านางรู้จักนี่หลีหรือไม่? เหตุใดเขาจึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น?
ความงามของเย่จื่อหวินประกอบขึ้นจากฟันขาวริมฝีปากแดงสด
นางงดงามประหนึ่งดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ
เปล่งบรรยากาศแห่งความงดงามถึงขีดสุด นี่ทำให้เด็กหนุ่มหลายคนต่างหลงใหลในตัวนาง
ณ ขณะนี้ สายตาของเสิ่นซิ่วมองผ่านนี่หลี
การกระทำของเด็กวัยสิบสามสิบสี่กลุ่มนี้ไม่อาจหลุดรอดสายตาของนางไปได้
ด้วยฐานะของผู้ใช้ภูติขั้นสามดาวเงิน นางก้าวเข้าสู่ภาวะกายจิตรวมประสาน
เปล่งสัมผัสที่หกอันลี้ลับและทรงพลัง
สายตาของนางคมกล้าอย่างยิ่งจนสามารถมองเห็นมุสิกที่วิ่งอยู่ไกลนับร้อยเมตร
เย่จื่อหวินมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง
นางเป็นถึงบุตรีของเจ้านครเรืองโรจน์ และเป็นหลานสาวของผู้ใช้ภูติในตำนาน เย่ม่อ
ไม่เพียงเท่านั้น
เวิ้งวิญญาณครามที่อยู่ในตันเถียนของนางเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง!!
มีเพียงไม่กี่คนในสถานศึกษาที่รู้ถึงศักดิ์ฐานะของเย่จื่อหวิน
หากเสิ่นเยว่สามารถตบแต่งนาง
สกุลเทพศักดิ์สิทธิ์จะมีที่หยั่งเท้าที่มั่นคงกว่าเดิม
นี่ทำให้เสิ่นเยว่ยินยอมอยู่ในชั้นเรียนนักรบฝึกหัด
และยังเป็นสาเหตุที่เสิ่นซิ่วยินดีเข้าสอนในชั้นเรียนอ่อนด้อยนี้
เสิ่นซิ่วคลายการกลายสภาพ สองแขนโอบรอบอก
ดวงตากวาดมองไปที่เหล่านักเรียนพลางเอ่ย “สองปีนับจากนี้
พวกเธอทั้งหมดคือนักเรียนของฉัน แม้สถานศึกษามีหลักพื้นฐานของความเท่าเทียม
แต่ฉันจะบอกให้ทราบว่าความจริงแล้ว
ในโลกอันน่ารังเกียจนี้ไม่มีความเท่าเทียมอยู่จริง!” เสิ่นซิ่วพูดเสียงเย็นเยียบ
ถ้อยคำของนางประหนึ่งมีดที่จ้วงแทงลงไปบนหัวใจของนักเรียนทั้งหลาย
เหล่านักเรียนนั่งฟังเงียบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก
“เมื่อพวกเธอสำเร็จการศึกษา
พวกเธอจะยอมรับสิ่งที่ฉันพูดเอง ความเท่าเทียมนั้นเป็นเพียงคำโกหกของพวกผู้ใหญ่เท่านั้น
เธอจะหลงอยู่ในเทพนิยายไปตลอดไม่ได้” เสิ่นซิ่วกล่าวพลางก้มลงมองเด็กนักเรียน
“นครเรืองโรจน์เป็นนครเดียวที่เหลือรอดจากยุคมืด
เราเป็นมนุษย์กลุ่มเดียวที่รอดชีวิต
ในนครนั้นประกอบไปด้วยนักรบและผู้ใช้ภูติที่แกร่งกล้า แต่การคงอยู่ของผู้ใช้ภูตินั้นคือการดำรงอยู่ที่สูงศักดิ์
นักรบเพียงหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นผู้ใช้ภูติที่แกร่งกล้า
จวบจนบัดนี้ มีผู้ใช้ภูติในนครเพียงไม่กี่พันเท่านั้น และพวกเราคือผู้พิทักษ์นคร!”
“นักรบและผู้ใช้ภูติต่างแบ่งชั้นออกดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ระดับยิ่งสูง คนยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าสกุลใดมีผู้ใช้ภูติระดับทอง
สกุลนั้นย่อมได้ยกระดับเป็นสกุลยศฐา ถ้ามีผู้ใช้ภูติเหล็กนิล
พวกเขาอาจกลายเป็นสกุลใหญ่ ยิ่งถ้าสามารถผลิตผู้ใช้ภูติในตำนาน
สกุลนั้นย่อมเรียกว่าเป็นสกุลหลักของนคร พวกเราทั้งสามสิบหกคนตรงนี้ บ้างมาจากสกุลทั่วไป
บ้างมาจากสกุลใหญ่ แม้จุดเริ่มต้นจะเท่าเทียม แต่ศักดิ์ฐานะไม่เคยเท่ากันมาก่อน
ฉันหวังว่าพวกเธอทุกคนจะมีความสำนึกตัว คนธรรมดาย่อมเป็นคนธรรมดา
ไม่มีทางจะกลายเป็นสกุลยศฐาไปได้ อย่าได้นึกฝันว่าพวกเธอจะได้กลายเป็นหงส์
แม้ในเหล่าคนมียศศักดิ์ เรายังมีเส้นแบ่งคั่นที่ข้ามไปไม่ได้”
ภายใต้สายตาของเสิ่นซิ่ว
เด็กนักเรียนในชุดแต่งกายสามัญแสดงท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
เสิ่นซิ่วและเด็กจากสกุลสูงต่างแอ่นอกเชิดหน้าด้วยความหยิ่งทะนง มีเพียงนี่หลี
เย่จื่อหวิน ลู่เปียวและเด็กจากสกุลสูงอีกไม่กี่คนที่สงวนท่าที
นี่หลีมองไปทางข้าง ตู้เจ๋อเองสวมใส่เสื้อผ้าเก่า
เด็กชายกำหมัดกัดปากแน่น ตู้เจ๋อมาจากสกุลสามัญ สถานการณ์ของครอบครัวย่ำแย่ยิ่ง
แต่นี่หลีรู้ดีกว่าความภูมิใจในตัวเองของตู้เจ๋อนั้นสูงมาก
ในชาติก่อน ตู้เจ๋อพยายามอย่างหนักหน่วง แม้พื้นฐานครอบครัวต่ำต้อย
แต่พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มไม่ได้ย่ำแย่นัก
เขากลายเป็นผู้ใช้ภูติระดับทองโดยไม่ได้มีการใช้อุปกรณ์เสริมแต่อย่างใด
แม้ไม่ได้มีพรสวรรค์สูงล้ำ
แต่เด็กชายก็ใช้ความพยายามของตนก้าวขึ้นสู่ระดับสูงส่งจนยากจินตนาการว่าเด็กชายทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปมากเท่าใด
ก่อนการล่มสลายของนครเรืองโรจน์ สกูลสูงล้วนคิดแต่จะหาทางหลบหนี
มีเพียงเหล่าประชาชนคนสามัญเท่านั้นที่สู้เพื่อนครจนลมหายใจสุดท้าย
ตู้เจ๋อเป็นเพื่อนของนี่หลี เป็นเพื่อนที่ควรภาคภูมิใจคนหนึ่ง
เมื่อนี่หลีสังเกตุเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามของเสิ่นซิ่ว
ความชิงชังก็ก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อชาติก่อน ก่อนนครเรืองโรจน์จะล่มสลาย
เป็นสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เองที่หนีตายเป็นคนแรก
ดังนั้นนี่หลีไม่ได้มีความประทับใจใดๆกับตระกูลนี้
ไม่ว่าเสิ่นเยว่หรือเสิ่นซิ่วก็ล้วนไร้ค่า
ยิ่งชาติก่อนเสิ่นซิ่วปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความร้ายกาจ ยิ่งทำให้นี่หลีไม่ชอบหน้านาง
“อาจารย์หญิงเสิ่น ผมมีคำถาม” นี่หลีพูดโพล่ง
นักเรียนทุกคนต่างเงียบฟัง แต่นี่หลีกลับพูดทะลุกลางปล้อง
เสิ่นซิ่วไม่ยินดียิ่ง นางจำได้ว่านี่หลีคือคนหนึ่งที่แอบมองเย่จื่อหวิน
คำพูดของนางก่อนนี้พุ่งเป้าไปที่นี่หลีเอง นางย่อมนึกไม่ถึงว่านี่หลีจะพูดสวนขึ้น
“มีอะไร” นางเอ่ยเสียงเย็น
“อาจารย์หญิงเสิ่นกล่าวว่านครเรืองโรจน์เราคือผู้รอดชีวิตหนึ่งเดียวจากยุคมืด
ว่าเราคือมนุษย์ที่เหลือรอดกลุ่มสุดท้าย มีข้อพิสูจน์ใดหรือไม่
ผมใคร่ขอถามว่าอาจารย์เคยข้ามพ้นเทือกเขาบูรพชน ท่องทะเลทรายไร้ที่สุด ข้ามป่าพิษ
ตะลุยบึงจันทร์สีเลือด เยือนปากอ่าววิญญาณวิเศษ ชมแนวเขาสระสวรรค์ ข้ามฟ้าหิมะแดนเหนือแล้วหรือไม่?”
นี่หลีถาม
“แนวเขาสระสวรรค์อะไร
ฟ้าหิมะแดนเหนือเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า” เสิ่นซิ่วขมวดคิ้วงาม
นางย่อมเคยได้ยินชื่อของทะเลทรายไร้ที่สุด ป่าพิษ และบึงจันทร์สีเลือดมาก่อน
แต่สถานที่เหล่านั้นห่างจากแนวเขาบูรพชนไปไกลโข นางได้ยินเพียงชื่อเล่าขานในตำนานเท่านั้น
เสิ่นซิ่วแค่นจมูก “ฉันเกิดในนครเรืองโรจน์
ย่อมไม่เคยไปที่เหล่านั้น”
นี่หลียิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “หากอาจารย์หญิงไม่เคยไปยังที่เหล่านั้น
ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเป็นเพียงกลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอด”
เสิ่นซิ่วหมดคำพูด
นักเรียนต่างกระซิบกระซาบ พวกเขาไม่รู้ว่าที่ที่นี่หลีพูดถึงคือที่ไหน
แม้แต่เย่จื่อหวินที่นั่งห่างออกไปยังแสดงประกายตาแห่งความสนใจ
นางมองนี่หลีอย่างสงสัยว่าเขารู้จักที่เหล่านั้นได้อย่างไร
เสิ่นเยว่ที่นั่งอยู่ข้างนางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาหันไปมองนี่หลีก่อนตระหนักว่านี่หลีเองก็หน้าไม่เบา ไม่แพ้ตัวเองแน่นอน
เด็กชายพลันรู้สึกถึงวิกฤตที่ก้าวเข้ามา
เมื่อได้เห็นว่านักเรียนต่างกระซิบกระซาบ
ใบหน้าของนางแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง ก่อนเอ่ยกระชากเสียง “แล้วอย่างไร? เธอพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเราไม่ใช่มนุษย์ที่เหลือรอดกลุ่มสุดท้าย?”
“พิสูจน์?”
นี่หลียิ้มน้อยๆ ประสบการณ์จากอดีตชาติของเขาคือเครื่องพิสูจน์อย่างดี
สติปัญญาของมนุษย์นั้นมหัศจรรย์ยิ่ง หลังผ่านยุคมืด มนุษย์ยังเหลือรอดมาได้จำนวนมาก
พวกเขาสร้างนครใหญ่มากมาย แต่แน่นอนว่าเด็กชายนั้นพูดออกมาไม่ได้
เขาจึงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ให้ผมเล่าเรื่องให้อาจารย์หญิงฟังสักเรื่อง
กาลครั้งหนึ่งยังมีกบน้อยในบ่อลึก ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่ในบ่อ
ตั้งแต่แรกก็เห็นแต่ฟ้าเพียงส่วนเสี้ยว เขาจึงบอกว่าฟ้านั้นใหญ่เท่าปากบ่อนั้น
แต่ฟ้าใหญ่เพียงนั้นได้อย่างไร? เราล้วนบอกได้ว่ากบน้อยนั้นไม่รู้ฟ้ากว้างแค่ไหนเท่านั้นเอง”
เด็กนักเรียนหัวเราะอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของนี่หลี
พวกเขาล้วนเห็นว่านี่หลีพูดมีเหตุผล และสำนวนว่ากบในบ่อนั้นหมายถึงเสิ่นซิ่วนั่นเอง
“ดูฟ้าจากก้นบ่อ เป็นคำอธิบายทีดีจริงๆ” เด็กหญิงหลายคนพูดพลางหัวร่อต่อกระซิก
พวกนางล้วนไม่ชอบหน้าเสิ่นซิ่วและมองนี่หลีด้วยความยอมรับ
ด้วยเขาคือคนเดียวที่กล้าวิจารณ์อาจารย์หญิงในชั้น
“เจ้า....” เสิ่นซิ่วจ้องนี่หลีเขม็ง
นางโกรธจนแทบกระอักเลือด นี่หลีเปรียบนางกับกบโง่เขลาตัวนั้น
นางไม่เคยเจอกับนักเรียนที่ไร้มารยาทแบบนี้มาก่อน
เย่จื่อหวินเองก็ระงับเสียงหัวเราะไม่ได้
นางตระหนักว่านี่หลีนี้น่าสนใจและมีฝีปากคมคายอย่างยิ่ง
เขาถึงกับทำให้เสิ่นซิ่วพูดไม่ออก นางยิ้มให้กับนี่หลี
ในขณะที่เขากระพริบตาใส่นางพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทีของนี่หลี
เย่จื่อหวินก็หันหน้ากลับในทันควัน พลางคิดในใจว่านี่หลีนั้นไร้มารยาทนัก
นางยังเห็นว่านี่หลีนั้นเป็นนักเรียนที่ย่ำแย่อยู่ดี
ลู่เปียวเองเห็นการกระทำของนี่หลีทั้งยั่วโมโหเสิ่นซิ่วและหยอกเย้าเย่จื่อหวินก็อดไม่ได้ให้ยอมรับ
เด็กชายยกนิ้วโป้งให้ด้วยความอัศจรรย์ใจ
นี่หลีมองไปยังเสิ่นซิ่วแล้วเอ่ยต่อว่า
“อาจารย์หญิงเสิ่น
ผมยังมีอีกคำถาม”
เสิ่นซิ่วขุ่นแค้นตาย
แต่นางย่อมไม่สามารถระเบิดออกมาได้ ได้เพียงตอบกลับอย่างอารมณ์ไม่ดี “ยังมีคำถามอะไรอีก?”
“อาจารย์หญิงกล่าวว่า คนธรรมดาย่อมเป็นคนธรรมดา
ไม่มีทางกลายเป็นคนมียศฐาไปได้ ผมสงสัยว่าท่านเย่ม่อ ผู้ใช้ภูติในตำนานท่านนั้น
มิใช่คนธรรมดาเมื่อยังเยาว์หรอกหรือ?” นี่หลีถาม
กระพริบตาหลายครั้งก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์หญิงเสิ่นไม่ทราบหรอกหรือ?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น